Ministry of Healing
BACK NEXT

Chapter 5 - (บทที่ 5)
Healing of the Soul
การเยียวยารักษาจิตวิญญาณ

Many of those who came to Christ for help had brought disease upon themselves, yet He did not refuse to heal them. And when virtue from Him entered into these souls, they were convicted of sin, and many were healed of their spiritual disease as well as of their physical maladies. {MH 73.1}

หลายคนที่มาหาพระคริสต์เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์ เป็นผู้นำโรคภัยมาสู่ตนเอง แต่กระนั้น พระองค์มิได้ทรงปฏิเสธที่จะรักษาพวกเขาให้หาย และเมื่อฤทธิ์อำนาจของพระองค์เข้าไปยังจิตวิญญาณของคนเหล่านี้แล้ว พวกเขาสำนึกในความผิดบาปและหลายคนได้รับการรักษาให้หายจากโรคในฝ่ายจิตวิญญาณและความเจ็บป่วยทางกายด้วย {MH 73.1}

Among these was the paralytic at Capernaum. Like the leper, this paralytic had lost all hope of recovery. His disease was the result of a sinful life, and his sufferings were embittered by remorse. In vain he had appealed to the Pharisees and doctors for relief; they pronounced him incurable, they denounced him as a sinner and declared that he would die under the wrath of God. {MH 73.2}

ในบรรดาคนป่วยเหล่านี้ มีคนง่อยแห่งเมืองคาเปอรนาอุมรวมอยู่ด้วย คนง่อยผู้นี้ได้สูญสิ้นความหวังที่จะหาย เช่นเดียวกับคนโรคเรื้อน โรคของเขาเป็นผลสืบเนื่องมาจากการดำเนินชีวิตในทางแห่งความผิดบาป และเขาต้องขมขื่นใจกับความทุกข์ทรมาน เพราะเสียใจที่ได้ทำผิดไป เขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพวกฟาริสีและแพทย์ทั้งหลาย แต่ก็เปล่าประโยชน์ คนเหล่านั้นต่างวินิจฉัยว่าโรคของเขารักษาไม่หาย ทั้งยังประณามว่าเขาเป็นคนบาปและประกาศว่าเขาจะต้องตายด้วยพระพิโรธของพระเจ้า {MH 73.2}

The palsied man had sunk into despair. Then he heard of the works of Jesus. Others, as sinful and helpless as he, had been healed, and he was encouraged to believe that he, too, might be cured if he could be carried to the Saviour. But hope fell as he remembered the cause of his malady, yet he could not cast away the possibility of healing.{MH 73.3}

คนง่อยรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก แต่หลังจากที่เขาได้ยินถึงพระราชกิจของพระเยซูว่า คนอื่นที่มีความผิดบาปและหมดหนทางเหมือนเขายังได้รับการรักษาให้หายได้ ดังนั้นเขาจึงมีกำลังใจที่จะเชื่อว่าหากมีคนหามเขาไปหาพระผู้ช่วยให้รอด เขาอาจจะได้รับการรักษาให้หายป่วยได้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องป่วยเป็นโรคนี้เขาก็หมดหวัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมละทิ้งโอกาสที่จะได้รับการรักษา {MH 73.3}

His great desire was relief from the burden of sin. He longed to see Jesus and receive the assurance of forgiveness and peace with heaven. Then he would be content to live or to die, according to God's will. {MH 74.1}

ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาก็คือ การได้รับการปลดเปลื้องให้หลุดพ้นจากภาระแห่งบาป เขาปรารถนาที่จะเข้าเฝ้าพระเยซูและมั่นใจว่าจะได้รับการอภัยบาป มีสันติสุขกับสวรรค์ หลังจากนั้นเขาก็พร้อมที่จะมีชีวิตต่อไปหรือแม้ต้องตายก็ตามก็สุดแท้แต่พระทัยของพระเจ้า {MH 74.1}

There was no time to lose; already his wasted flesh bore signs of death. He besought his friends to carry him on his bed to Jesus, and this they gladly undertook to do. But so dense was the crowd that had assembled in and about the house where the Saviour was, that it was impossible for the sick man and his friends to reach Him, or even to come within hearing of His voice. Jesus was teaching in the home of Peter. According to their custom, His disciples sat close about Him, and "there were Pharisees and doctors of the law sitting by, who were come out of every village of Galilee and Judea and Jerusalem." Luke 5:17, A.R.V. Many of these had come as spies, seeking an accusation against Jesus. Beyond these thronged the promiscuous multitude, the eager, the reverent, the curious, and the unbelieving. Different nationalities and all grades of society were represented. "And the power of the Lord was present to heal." Verse 17. The Spirit of life brooded over the assembly, but Pharisees and doctors did not discern His presence. They felt no sense of need, and the healing was not for them. "He hath filled the hungry with good things; and the rich He hath sent empty away." Luke 1:53. {MH 74.2}

เขาจะรอช้าให้เสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว เพราะเนื้อหนังอันเหี่ยวแห้งของเขาเป็นสัญญาณบอกว่าเขากำลังจะตาย เขาจึงขอร้องมิตรสหายให้ยกร่างพร้อมที่นอนไปหาพระเยซู คนเหล่านั้นต่างยินดีอาสา แต่ฝูงชนมารวมกลุ่มแออัดกันอยู่ภายในและรอบบริเวณบ้านที่พระผู้ช่วยให้รอดประทับอยู่ คนง่อยและมิตรสหายจึงไม่อาจเข้าไปถึงพระองค์หรือแม้แต่จะเข้าไปใกล้พอที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ พระเยซูกำลังเทศนาสั่งสอนอยู่ในบ้านของเปโตร ตามธรรมเนียมพวกสาวกของพระองค์จะนั่งใกล้ชิดรอบพระองค์และ “มีพวกฟาริสีและพวกบาเรียนนั่งอยู่ด้วย เป็นผู้ที่มาจากทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดียและจากกรุงเยรูซาเล็ม” ลูกา 5:17 หลายคนในพวกเหล่านี้เป็นคนสอดแนม เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระเยซู ในหมู่ชนที่มารวมตัวกันนี้มีคนมากมายหลากหลายปะปนกันมา มีทั้งพวกที่มีใจร้อนรน พวกที่มีความเคารพยำเกรง พวกที่อยากรู้อยากเห็น และพวกที่ไม่เชื่อ มีคนชาติต่างๆ และหมู่ชนทุกชนชั้นรวมกันอยู่ที่นั่น “ฤทธิ์เดชของพระเป็นเจ้าก็อยู่ในพระองค์ เพื่อจะรักษาเขาให้หายโรค” ลูกา 5:17 พระวิญญาณแห่งชีวิตสถิตอยู่ท่ามกลางพวกที่มาร่วมชุมนุมกัน แต่พวกฟาริสีและพวกบาเรียนมองไม่เห็นว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่ด้วย พวกเขาต่างไม่รู้สึกว่าตนเองต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้นการรักษาจึงมิได้มีไว้เพื่อเขา “พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดีและทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า” ลูกา 1:53 {MH 74.2}

Again and again the bearers of the paralytic tried to push their way through the crowd, but in vain. The sick man looked about him in unutterable anguish. How could he relinquish hope when the longed-for help was so near? At his suggestion his friends bore him to the top of the house and, breaking up the roof, let him down at the feet of Jesus. {MH 75.1}

ผู้แบกหามคนง่อยได้พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะฝ่าฝูงชนเข้าไป แต่ก็ไม่ประสบผล คนป่วยเหลียวมองไปรอบตัวด้วยความทุกข์ใจจนพูดไม่ออก เขาจะทิ้งความหวังไปได้อย่างไร ในเมื่อความช่วยเหลือที่เขาปรารถนานั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาจึงได้แนะนำมิตรสหายให้หามเขาขึ้นไปบนหลังคาบ้านและรื้อหลังคาออกเป็นช่อง จากนั้นก็หย่อนเขาลงไปที่พระบาทของพระเยซู {MH 75.1}

The discourse was interrupted. The Saviour looked upon the mournful countenance and saw the pleading eyes fixed upon Him. Well He knew the longing of that burdened soul. It was Christ who had brought conviction to his conscience when he was yet at home. When he repented of his sins and believed in the power of Jesus to make him whole, the mercy of the Saviour had blessed his heart. Jesus had watched the first glimmer of faith grow into a conviction that He was the sinner's only helper, and had seen it grow stronger with every effort to come into His presence. It was Christ who had drawn the sufferer to Himself. Now, in words that fell like music on the listener's ear, the Saviour said, "Son, be of good cheer; thy sins be forgiven thee." Matthew 9:2. {MH 75.2}

การเทศนาสั่งสอนหยุดชะงักลง พระผู้ช่วยให้รอดทอดพระเนตรใบหน้าที่เศร้าหมองและทรงเห็นสายตาวิงวอนที่เพ่งมองพระองค์ ทรงเข้าใจถึงความปรารถนาของจิตวิญญาณที่ต้องแบกภาระอันหนัก พระคริสต์นั่นเอง ที่ทรงเป็นผู้ทำให้ใจมโนธรรมของเขาสำนึกในความผิดบาป ในเวลาตั้งแต่เขายังอยู่ที่บ้าน เมื่อกลับใจใหม่จากบาปและเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเยซูที่จะทำให้เขาหายจากโรคได้แล้ว พระคุณของพระผู้ช่วยให้รอดอำนวยพรแก่จิตใจของเขาให้ได้รับความสุข พระเยซูทอดพระเนตรเห็นประกายแห่งความเชื่อแรกที่เพิ่มขึ้นจนเป็นการรู้สำนึกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเพียงพระองค์เดียวของคนบาป และทรงเห็นว่าความเชื่อของเขาเติบใหญ่จนมีกำลังที่เข้มแข็งจากความพากเพียรพยายามที่จะเข้ามาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พระคริสต์เอง ผู้นำคนป่วยที่ทนทุกข์ทรมานให้เข้าไปหาพระองค์ บัดนี้ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสด้วยถ้อยคำอันไพเราะดุจเสียงดนตรีแก่ผู้ที่ได้ยินว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” มัทธิว 9:2 {MH 75.2}

The burden of guilt rolls from the sick man's soul. He cannot doubt. Christ's words reveal His power to read the heart. Who can deny His power to forgive sins? Hope takes the place of despair, and joy of oppressive gloom. The man's physical pain is gone, and his whole being is transformed. Making no further request, he lay in peaceful silence, too happy for words. {MH 76.1}

ภาระหนักแห่งความผิดบาปได้หลุดพ้นออกไปจากจิตวิญญาณของชายที่ป่วยอยู่นั้น เขาไม่มีความสงสัยใดๆ พระดำรัสของพระคริสต์ได้เผยให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ทรงอ่านจิตใจของเขาได้ ใครเล่าจะปฏิเสธฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ทรงโปรดยกบาปได้ ความหวังเกิดขึ้นแทนความสิ้นหวังและความปีติยินดีเข้ามาแทนที่ความทุกข์ใจ ความเจ็บปวดด้านร่างกายหายไป ทั่วร่างกายของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เขาไม่ได้ร้องขอสิ่งใดอีก ได้แต่นอนสงบนิ่ง รู้สึกเป็นสุขอย่างเหลือล้นเกินกว่าจะกล่าวถ้อยคำใดๆ {MH 76.1}

Many were watching with breathless interest every movement in this strange transaction. Many felt that Christ's words were an invitation to them. Were they not soul-sick because of sin? Were they not anxious to be freed from this burden? {MH 76.2}

คนเป็นอันมากได้เฝ้ามองดูเหตุการณ์อันแปลกประหลาดทุกอิริยาบถด้วยความระทึกใจ หลายคนรู้สึกว่าพระดำรัสของพระคริสต์เป็นคำเชิญสำหรับพวกเขาด้วย บาปมิได้ทำให้เขาเจ็บป่วยในฝ่ายจิตวิญญาณดอกหรือ พวกเขาไม่มีความกระหายที่จะปลดเปลื้องจากภาระนี้ด้วยหรือ {MH 76.2}

But the Pharisees, fearful of losing their influence with the multitude, said in their hearts, "He blasphemeth: who can forgive sins but One, even God?" Mark 2:7, R.V. {MH 76.3}

แต่พวกฟาริสีกลัวว่าจะสูญเสียอิทธิพลที่มีต่อประชาชน จึงคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น” มาระโก 2:7 {MH 76.3}

Fixing His glance upon them, beneath which they cowered and drew back, Jesus said, "Wherefore think ye evil in your hearts? For whether is easier, to say, Thy sins be forgiven thee; or to say, Arise, and walk? But that ye may know that the Son of man hath power on earth to forgive sins," He said, turning to the paralytic, "Arise, take up thy bed, and go unto thine house." Matthew 9:4-6. {MH 76.4}

พระเยซูทรงจ้องมองดูพวกฟาริสี แล้วพวกเขาไม่กล้าสบสายตาและถอยห่างออกมาด้วยความหวาดกลัว พระเยซูทรงทราบถึงความคิดภายในจิตใจของพวกเขา จึงตรัสว่า “เหตุใดท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้เล่า ที่จะว่ากับคนง่อยว่าบาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้วและจะว่าจงยกแคร่เดินไปเถิดนั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้น ยกแคร่ไปบ้านของเจ้าเถิด” มัทธิว 9:4-6 {MH 76.4}

Then he who had been borne on a litter to Jesus rose to his feet with the elasticity and strength of youth. And immediately he "took up the bed, and went forth before them all; insomuch that they were all amazed, and glorified God, saying, We never saw it on this fashion." Mark 2:12. {MH 77.1}

คนง่อยที่ถูกหามบนแคร่มาหาพระเยซูนั้นลุกขึ้นยืนด้วยความกระฉับกระเฉงและมีกำลังวังชาเหมือนกับคนหนุ่ม ทันใดนั้นเขา “ยกแคร่ของตนเดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวง คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงสรรเสริญพระเจ้าว่า เราไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย” มาระโก 2:12 {MH 77.1}

It required nothing less than creative power to restore health to that decaying body. The same voice that spoke life to man created from the dust of the earth, had spoken life to the dying paralytic. And the same power that gave life to the body had renewed the heart. He who at creation "spake, and it was," who "commanded, and it stood fast" (Psalm 33:9), had spoken life to the soul dead in trespasses and sins. The healing of the body was an evidence of the power that had renewed the heart. Christ bade the paralytic arise and walk, "that ye may know," He said, "that the Son of man hath power on earth to forgive sins." {MH 77.2}

ร่างกายที่เสื่อมโทรมจะกลับมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงขึ้นมาใหม่อีกครั้งนั้น จะต้องอาศัยฤทธิ์อำนาจซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้นมา พระสุรเสียงที่ตรัสประทานชีวิตให้แก่ชายง่อยผู้กำลังจะตายเป็นพระสุรเสียงเดียวกันกับที่ตรัสเมื่อทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากผงคลีดิน และฤทธิ์อำนาจที่ประทานชีวิตให้แก่ร่างกาย เป็นฤทธิ์อำนาจเดียวกันที่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ พระองค์ผู้ตรัสแล้ว “มันก็เกิดขึ้นมา พระองค์ทรงบัญชามันก็ออกมา” สดุดี 33:9 ในขณะที่ทรงสร้างโลกนั้น เป็นผู้ตรัสประทานชีวิตให้แก่จิตวิญญาณที่ตายแล้วในการล่วงละเมิดและบาป การรักษาร่างกายให้หายจากความเจ็บป่วยนั้น เป็นหลักฐานที่แสดงถึงฤทธิ์อำนาจที่เปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ พระคริสต์ทรงมีพระดำรัสสั่งให้ชายง่อยลุกขึ้นและเดินไปนั้นก็เพื่อ “ท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” {MH 77.2}

The paralytic found in Christ healing for both the soul and the body. He needed health of soul before he could appreciate health of body. Before the physical malady could be healed, Christ must bring relief to the mind, and cleanse the soul from sin. This lesson should not be overlooked. There are today thousands suffering from physical disease who, like the paralytic, are longing for the message, "Thy sins are forgiven." The burden of sin, with its unrest and unsatisfied desires, is the foundation of their maladies. They can find no relief until they come to the Healer of the soul. The peace which He alone can impart would restore vigor to the mind and health to the body. {MH 77.3}

ชายง่อยได้รับการรักษาโรคของทั้งจิตวิญญาณและทางกายจากพระคริสต์ เขาจำเป็นจะต้องได้รับการชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนที่จะซาบซึ้งถึงคุณค่าของร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงได้ ก่อนที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางฝ่ายร่างกายให้หายนั้น พระคริสต์ต้องปลดเปลื้องความทุกข์ที่อยู่ภายในจิตใจและจะทรงชำระจิตวิญญาณจากความผิดบาปให้สะอาดบริสุทธิ์เสียก่อน เราไม่ควรมองข้ามบทเรียนนี้ไป ทุกวันนี้ มีผู้คนมากมายที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยไข้เจ็บเหมือนชายง่อยคนนี้ คนเหล่านี้ต่างปรารถนาที่จะได้ยินข่าวประเสริฐที่กล่าวว่า “บาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” ภาระหนักแห่งบาปและความอยากได้อยากมีที่ไม่รู้จักพอ รวมทั้งความกลัดกลุ้มวุ่นวายใจ ล้วนเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บของเขาเอง เขาไม่อาจจะได้รับการบรรเทาจนกว่าจะเข้าไปหาพระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาจิตวิญญาณ สันติสุขที่มีเพียงพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถประทานให้ จะช่วยให้จิตใจมีความเข้มแข็ง และทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่สมบูรณ์ได้ {MH 77.3}

The effect produced upon the people by the healing of the paralytic was as if heaven had opened and revealed the glories of the better world. As the man who had been cured passed through the throng, blessing God at every step and bearing his burden as if it were a feather's weight, the people fell back to give him room and with awe-stricken faces gazed upon him, whispering softly among themselves, "We have seen strange things today." Luke 5:26. {MH 78.1}

การรักษาชายง่อยให้หายจากโรคยังผลให้เกิดแก่ประชาชน ประหนึ่งว่าสวรรค์ได้เปิดออกและเผยให้เห็นสง่าราศีของโลกที่สุขสมบูรณ์กว่า ในขณะที่ชายง่อยที่หายจากโรคแล้วเดินฝ่าฝูงชน เขาสรรเสริญพระเจ้าทุกย่างก้าวและแบกภาระที่เบาอย่างขนนกของเขากลับไป ประชาชนหลีกทางให้เขาและจ้องมองดูชายคนนั้นด้วยสีหน้าคร้ามกลัว ต่างกระซิบเบาๆ ต่อกันว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งแปลกประหลาด” ลูกา 5:26 {MH 78.1}

In the home of the paralytic there was great rejoicing when he returned to his family, carrying with ease the couch upon which he had been slowly borne from their presence but a short time before. They gathered round with tears of joy, hardly daring to believe their eyes. He stood before them in the full vigor of manhood. Those arms that they had seen lifeless were quick to obey his will. The flesh that had been shrunken and leaden-hued was now fresh and ruddy. He walked with a firm, free step. Joy and hope were written in every lineament of his countenance, and an expression of purity and peace had taken the place of the marks of sin and suffering. Glad thanksgiving went up from that home, and God was glorified through His Son, who had restored hope to the hopeless and strength to the stricken one. This man and his family were ready to lay down their lives for Jesus. No doubt dimmed their faith, no unbelief marred their fealty to Him who had brought light into their darkened home. "Bless the Lord, O my soul: And all that is within me, bless His holy name. Bless the Lord, O my soul, And forget not all His benefits: Who forgiveth all thine iniquities; Who healeth all thy diseases; Who redeemeth thy life from destruction;... So that thy youth is renewed like the eagle's. The Lord executeth righteousness And judgment for all that are oppressed.... He hath not dealt with us after our sins; Nor rewarded us according to our iniquities.... Like as a father pitieth his children, So the Lord pitieth them that fear Him. For He knoweth our frame; He remembereth that we are dust." Psalm 103:1-14. {MH 79.1}

ภายในบ้านของชายง่อยต่างมีความปีติยินดีเป็นล้นพ้น เมื่อได้เห็นเขาแบกที่นอนกลับมาได้อย่างสบาย ทั้งที่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะถูกหามออกไปจากบ้านอย่างทุลักทุเล พวกเขาพากันไปห้อมล้อมชายที่หายป่วยด้วยน้ำตาแห่งความยินดี และไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เพราะเขากลายเป็นชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายกำยำล่ำสัน ลำแขนที่เมื่อก่อนเคยฝ่อลีบเหมือนตายแล้วกลับสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างใจคิด เนื้อหนังที่เมื่อก่อนเคยเหี่ยวย่นและดำคล้ำนั้น บัดนี้กลับสดใสและเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด เขาก้าวเดินได้อย่างมั่นคง คล่องตัวอย่างเต็มกำลัง ความปีติยินดีและความหวังฉายแววอยู่ทุกอณูบนใบหน้าของเขา แสดงออกถึงความบริสุทธิ์และสันติสุขซึ่งเข้าแทนที่รอยแผลแห่งความผิดบาปและความทุกข์ทรมาน เสียงโมทนาพระคุณพระเจ้าด้วยความเบิกบานใจดังขึ้นจากบ้านหลังนั้น และพระเจ้าทรงรับพระสิริโดยพระบุตรของพระองค์ พระองค์ผู้ทรงนำความหวังกลับคืนมาให้แก่ผู้ที่สิ้นหวังและนำพละกำลังมาสู่คนที่เจ็บป่วย ชายผู้นี้และครอบครัวของเขาพร้อมแล้วที่จะสละชีวิตเพื่อพระเยซู ไม่มีความสงสัยใดๆ ที่จะทำให้ความเชื่อของเขามืดมัวอีกต่อไป ไม่มีทั้งความไม่เชื่อใดๆ ที่จะมาทำลายความภักดีที่มีต่อพระองค์ผู้ทรงโปรดประทานแสงสว่างมาสู่บ้านที่มืดมนหลังนี้อีก “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ทรงอภัยบาปผิดทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย......... วัยหนุ่มของท่านจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี พระเจ้าทรงประกอบการแก้แทน และการยุติธรรมให้แก่บรรดาผู้ที่ถูกบีบบังคับ……. พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา…….. บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น เพราะพระองค์ทรงทราบโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” สดุดี 103:1-14 {MH 79.1}

"Wilt Thou Be Made Whole?"

“เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ”

"Now there is at Jerusalem by the sheep market a pool, which is called in the Hebrew tongue Bethesda, having five porches. In these lay a great multitude of impotent folk, of blind, halt, withered, waiting for the moving of the water." John 5:2, 3. {MH 81.1}

“ในกรุงเยรูซาเล็มที่ริมประตูแกะมีสระอยู่สระหนึ่ง ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา เป็นที่ซึ่งมีศาลาห้าหลัง ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยเป็นอันมาก คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่” ยอห์น 5:2, 3 {MH 81.1}

At certain seasons the waters of this pool were agitated, and it was commonly believed that this was the result of supernatural power, and that whoever first after the troubling of the pool stepped into the waters, would be healed of whatever disease he might have. Hundreds of sufferers visited the place; but so great was the crowd when the water was troubled that they rushed forward, trampling, underfoot men, women, and children, weaker than themselves. Many could not get near the pool. Many who had succeeded in reaching it died upon its bank. Shelters had been erected about the place, that the sick might be protected from the heat by the day and the chilliness of the night. There were some who spent the night in these porches, creeping to the edge of the pool day after day, in the vain hope of relief. {MH 81.2}

ในบางเวลาน้ำในสระนี้จะกระเพื่อม เชื่อกันโดยทั่วไปว่าสิ่งนี้เป็นผลอันเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ และถ้าผู้ใดได้ก้าวลงสระเป็นคนแรกหลังที่น้ำกระเพื่อมขึ้น ก็จะหายจากโรคต่างๆ ที่เป็นอยู่ คนป่วยหลายร้อยคนได้พากันไปยังสถานที่แห่งนี้ แต่มีคนมาออกันอยู่เต็มไปหมด เมื่อน้ำกระเพื่อมขึ้น พวกเขาก็กรูกันเข้าไป เหยียบย่ำกัน ทั้งชาย ทั้งหญิง แม้กระทั่งเด็กที่อ่อนแอกว่า หลายคนเข้าไปใกล้สระไม่ได้ และหลายคนล้มตายเมื่อไปถึงริมขอบสระ มีการสร้างศาลาเรียงรายอยู่โดยรอบบริเวณสระเพื่อให้คนป่วยได้หลบไอแดดของเวลากลางวันและความหนาวเย็นในเวลากลางคืน มีคนป่วยบางคนที่ค้างคืนอยู่ในศาลาเหล่านี้ พวกเขาค่อยๆ คลานไปยังขอบสระวันแล้ววันเล่า ด้วยความหวังที่จะได้รับการปลดเปลื้อง แต่ก็ไร้ผล {MH 81.2}

Jesus was at Jerusalem. Walking alone in apparent meditation and prayer, He came to the pool. He saw the wretched sufferers watching for that which they supposed to be their only chance of cure. He longed to exercise His healing power and make every sufferer whole. But it was the Sabbath day. Multitudes were going to the temple for worship, and He knew that such an act of healing would so excite the prejudice of the Jews as to cut short His work. {MH 81.3}

พระเยซูทรงอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ทรงดำเนินไปตามลำพัง ทรงสำรวมจิตใจและพลางอธิษฐาน พระองค์เสด็จมาถึงสระเบธซาธา ทรงทอดพระเนตรเห็นเหล่าคนเจ็บป่วยที่น่าเวทนากำลังคอยเฝ้าดูสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเพียงหนทางเดียวของเขาที่จะได้รับการรักษาให้หาย พระองค์ทรงประสงค์ที่จะเปิดเผยฤทธิ์อำนาจในการรักษาของพระองค์และให้คนเจ็บป่วยที่ทนทุกข์ทรมานอยู่นั้นหายจากโรค แต่วันนั้นเป็นวันสะบาโต คนเป็นอันมากกำลังไปนมัสการพระเจ้าที่วิหาร พระองค์ทรงทราบดีว่าการรักษาคนป่วยในวันสะบาโตย่อมจะปลุกปั่นให้เกิดอคติขึ้นในบรรดาชาวยิว จนถึงกับทำให้พระราชกิจของพระองค์ต้องยุติลงกลางคันได้ {MH 81.3}

But the Saviour saw one case of supreme wretchedness. It was that of a man who had been a helpless cripple for thirty-eight years. His disease was in a great degree the result of his own evil habits and was looked upon as a judgment from God. Alone and friendless, feeling that he was shut out from God's mercy, the sufferer had passed long years of misery. At the time when it was expected that the water would be troubled, those who pitied his helplessness would bear him to the porches. But at the favored moment he had no one to help him in. He had seen the rippling of the water, but had never been able to get farther than the edge of the pool. Others stronger than he would plunge in before him. The poor, helpless sufferer was unable to contend successfully with the scrambling, selfish crowd. His persistent efforts toward the one object, and his anxiety and continual disappointment, were fast wearing away the remnant of his strength. {MH 81.4}

แต่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทอดพระเนตรเห็นคนป่วยที่แสนเวทนาอยู่คนหนึ่ง เป็นชายไร้ที่พึ่งที่ป่วยเป็นง่อยมานานสามสิบแปดปี ความเจ็บป่วยของเขาส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอุปนิสัยชั่วร้ายของเขาเอง และใครๆ ก็คิดว่าเป็นการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้า คนป่วยต้องทนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาหลายปี เขาต้องโดดเดี่ยว ไร้ญาติขาดมิตร และรู้สึกว่าเขาถูกกีดกั้นให้พ้นจากพระเมตตาของพระเจ้า เมื่อถึงคราวที่ทุกคนคาดว่าน้ำในสระจะกระเพื่อม พวกที่สงสารคนที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้นี้ก็ได้ช่วยกันหามเขาไปยังศาลา แต่เมื่อถึงเวลาที่น้ำกระเพื่อม ก็ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยอุ้มเขาลงไปในสระ เขาเคยเห็นน้ำในสระกระเพื่อมเป็นระลอก แต่เขาก็ไม่อาจขยับไปไกลเกินขอบสระได้ คนอื่นๆ ที่แข็งแรงกว่าโผไปถึงสระได้ก่อน คนป่วยที่หมดสิ้นหนทางและยากไร้ผู้นี้ไม่สามารถต่อสู้แข่งขันกับฝูงชนที่ยื้อแย่งและเห็นแก่ตัวได้ ความที่ต้องตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้สิ่งที่มุ่งหวังอยู่อย่างนั้น ความกลัดกลุ้มกังวลใจ และความท้อถอยที่ได้รับอยู่เสมอ ค่อยๆ กัดกร่อนเรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่ให้หมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว {MH 81.4}

The sick man was lying on his mat and occasionally lifting his head to gaze at the pool, when a tender, compassionate face bent over him, and the words, "Wilt thou be made whole?" arrested his attention. Hope came to his heart. He felt that in some way he was to have help. But the glow of encouragement soon faded. He remembered how often he had tried to reach the pool, and now he had little prospect of living till it should again be troubled. He turned away wearily, saying, "Sir, I have no man, when the water is troubled, to put me into the pool: but while I am coming, another steppeth down before me." {MH 83.1}

ชายป่วยผู้นั้นนอนอยู่บนที่นอนของเขาและบางคราวก็ผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองดูน้ำในสระ ครั้นเมื่อมีใบหน้าหนึ่งเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและเมตตาก้มลงมองดูเขาและกล่าวว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า” ทำให้เขาต้องเหลียวกลับมาดู จากนั้นความหวังเจิดจ้าขึ้นในใจ เขารู้สึกว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่นานต่อมา ความหวังที่เรืองรองขึ้นมานั้นกลับเลือนหายไป เขาระลึกขึ้นได้ว่า บ่อยครั้งที่เขาพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึงสระน้ำ และบัดนี้ ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาที่น้ำกระเพื่อมขึ้นอีกครั้งเหลือน้อยลงไปทุกที เขาหันกลับไปพลางตอบอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระและเมื่อข้าพเจ้ากำลังไปคนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” {MH 83.1}

Jesus bids him, "Rise, take up thy bed, and walk." Verses 6-8. With a new hope the sick man looks upon Jesus. The expression of His countenance, the tones of His voice, are like no other. Love and power seem to breathe from His very presence. The cripple's faith takes hold upon Christ's word. Without question he sets his will to obey, and, as he does this, his whole body responds. {MH 84.1}

พระเยซูทรงรับสั่งกับเขาว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด" ยอห์น 5:6-8 ชายป่วยผู้นั้นมองดูพระเยซูด้วยความหวังใหม่ พระพักตร์ของพระองค์ น้ำเสียงของพระองค์ที่แสดงออกมาไม่เหมือนผู้อื่น ประหนึ่งว่าความรักและฤทธิ์อำนาจได้ระบายออกมาจากพระพักตร์ของพระองค์ ความเชื่อของชายง่อยได้ยึดเอาถ้อยคำของพระคริสต์ไว้มั่น เขายอมเชื่อฟังโดยไม่ได้ไต่ถามถึงสิ่งใด และเมื่อเขาทำเช่นนี้ ร่างกายทั้งหมดของเขาก็ขานรับกับพระดำรัสสั่ง {MH 84.1}

Every nerve and muscle thrills with new life, and healthful action comes to his crippled limbs. Springing to his feet, he goes on his way with firm, free step, praising God and rejoicing in his new-found strength. {MH 84.2}

เส้นประสาททุกเส้นและกล้ามเนื้อทุกมัดได้ปลุกตื่นขึ้นสู่ชีวิตใหม่ และแข้งขาอันง่อยเปลี้ยของเขากลับเคลื่อนไหวได้อย่างแข็งแรง เขากระโดดลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินไปอย่างมั่นคง คล่องตัวอย่างเต็มกำลัง พลางสรรเสริญพระเจ้าและชื่นชมยินดีในพละกำลังใหม่ที่เขาได้รับ {MH 84.2}

Jesus had given the palsied man no assurance of divine help. The man might have said, "Lord, if Thou wilt make me whole, I will obey Thy word." He might have stopped to doubt, and thus have lost his one chance of healing. But no, he believed Christ's word, believed that he was made whole; immediately he made the effort, and God gave him the power; he willed to walk, and he did walk. Acting on the word of Christ, he was made whole. {MH 84.3}

พระเยซูทรงมิใด้ประทานความมั่นใจให้กับชายง่อยว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ชายคนนั้นอาจจะพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพระองค์หายโรค ข้าพระองค์จะเชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์” เขาอาจหยุดคิดสงสัย และด้วยเหตุนี้จึงสูญเสียโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวที่จะได้หายจากโรค แต่เขามิได้ทำเช่นนั้น เขาเชื่อในพระดำรัสของพระคริสต์ เชื่อว่าเขาจะได้รับการรักษาให้หายโรคได้ ทันใดนั้น เมื่อเขาพยายามลุกขึ้นยืน พระเจ้าจึงประทานกำลังให้แก่เขา เขาตั้งใจเดินและเขาก็เดินได้จริงๆ ด้วยการปฏิบัติตามพระดำรัสของพระคริสต์ เขาจึงได้รับการรักษาให้หาย {MH 84.3}

By sin we have been severed from the life of God. Our souls are palsied. Of ourselves we are no more capable of living a holy life than was the impotent man capable of walking. Many realize their helplessness; they are longing for that spiritual life which will bring them into harmony with God, and are striving to obtain it. But in vain. In despair they cry, "O wretched man that I am! who shall deliver me from this body of death?" Romans 7:24, margin. Let these desponding, struggling ones look up. The Saviour is bending over the purchase of His blood, saying with inexpressible tenderness and pity, "Wilt thou be made whole?" He bids you arise in health and peace. Do not wait to feel that you are made whole. Believe the Saviour's word. Put your will on the side of Christ. Will to serve Him, and in acting upon His word you will receive strength. Whatever may be the evil practice, the master passion which through long indulgence binds both soul and body, Christ is able and longs to deliver. He will impart life to the soul that is "dead in trespasses." Ephesians 2:1. He will set free the captive that is held by weakness and misfortune and the chains of sin. {MH 84.4}

ความสัมพันธ์ในชีวิตที่เรามีต่อพระเจ้าต้องสิ้นสุดลง จิตวิญญาณของเราก็ง่อยเปลี้ยไป เพราะบาป โดยลำพังตัวเราเองแล้ว เราดำเนินชีวิตในทางที่บริสุทธิ์ชอบธรรมไม่ได้มากไปกว่าชายง่อยที่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง หลายคนตระหนักว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาปรารถนาที่จะได้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งจะนำเขาให้เข้าสนิทกับพระเจ้า พวกเขาดิ้นรนแสวงหา แต่ก็ไร้ผล ในความสิ้นหวังเขาจึงร้องขึ้นว่า “โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้” โรม 7:24 ขอให้ผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวังและพยายามต่อสู้ดิ้นรน เงยหน้ามองดู พระผู้ช่วยให้รอดทรงกำลังโน้มพระกายลงมาเหนือคนทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ด้วยพระโลหิตของพระองค์และตรัสอย่างอ่อนโยนด้วยพระทัยที่เมตตาอย่างที่มิอาจจะบรรยายได้ว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า” พระองค์ทรงมีพระดำรัสสั่งให้ท่านลุกขึ้นด้วยสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์และมีสันติสุขในจิตใจ จงอย่ารอคอยจนกระทั่งรู้สึกว่าท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว จงเชื่อในถ้อยคำของพระผู้ช่วยให้รอด จงตั้งปณิธานที่จะยืนเคียงข้างกับพระคริสต์ ปรนนิบัติรับใช้พระองค์และเมื่อได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว ท่านก็จะได้รับกำลัง พระคริสต์ทรงพระปรีชาสามารถและทรงปรารถนาที่จะช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากการกระทำที่ชั่วร้ายหรือจากการหมกมุ่นอยู่ในกิเลสตัณหาที่คอยผูกมัดจิตวิญญาณและร่างกายของเราไว้มาเป็นเวลาช้านาน พระองค์จะประทานชีวิตแก่จิตวิญญาณที่ “ตายแล้วโดยการละเมิด” เอเฟซัส 2:1 พระองค์จะทรงปลดปล่อยผู้ที่ตกเป็นทาสของความอ่อนแอ ความทุกข์เข็ญใจและอยู่ในโซ่ตรวนของความผิดบาปให้เป็นอิสระ {MH 84.4}

The sense of sin has poisoned the springs of life. But Christ says, "I will take your sins; I will give you peace. I have bought you with My blood. You are Mine. My grace shall strengthen your weakened will; your remorse for sin I will remove." When temptations assail you, when care and perplexity surround you, when, depressed and discouraged, you are ready to yield to despair, look to Jesus, and the darkness that encompasses you will be dispelled by the bright shining of His presence. When sin struggles for the mastery in your soul, and burdens the conscience, look to the Saviour. His grace is sufficient to subdue sin. Let your grateful heart, trembling with uncertainty, turn to Him. Lay hold on the hope set before you. Christ waits to adopt you into His family. His strength will help your weakness; He will lead you step by step. Place your hand in His, and let Him guide you. {MH 85.1}

ความรู้สึกถึงความผิดบาปได้ทำลายความสุขใจที่มีในชีวิต แต่พระคริสต์ตรัสว่า “เราจะรับบาปของเจ้า เราจะประทานสันติสุขให้แก่เจ้า เราไถ่เจ้าด้วยโลหิตของเราแล้ว เจ้าเป็นของเรา พระคุณของเราจะเพิ่มกำลังแก่ความตั้งใจที่อ่อนเปลี้ยของเจ้าได้ ความเสียใจของเจ้าต่อบาปเราจะนำออกไป” เมื่อการทดลองโถมเข้ามายังท่าน เมื่อความกังวลใจและความงุนงงสับสนห้อมล้อมท่าน เมื่อท่านทุกข์โศกและท้อถอย จนท่านรู้สึกหมดอาลัยในชีวิต จงพึ่งพาในพระเยซู แล้วแสงสว่างอันเจิดจ้าจากพระพักตร์ของพระองค์จักขับไล่ความมืดมิดที่ห้อมล้อมท่านอยู่ เมื่อบาปต่อสู้เพื่อที่จะเอาชนะจิตวิญญาณของท่านและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของท่านก็กลับกลายเป็นภาระหนัก จงพึ่งพาในพระผู้ช่วยให้รอด พระคุณของพระองค์มีเพียงพอที่จะเอาชนะต่อความผิดบาปได้ จงให้จิตใจที่เป็นทุกข์ถึงความไม่แน่นอนในชีวิต หันไปหาพระองค์ด้วยจิตใจที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ จงยึดมั่นในความหวังที่พระองค์ทรงวางไว้เบื้องหน้าท่าน พระคริสต์ทรงรอรับท่านเข้าไว้ในครอบครัวของพระองค์ กำลังของพระองค์จะช่วยท่านให้พ้นจากความอ่อนแอ พระองค์จะทรงนำท่านไปทีละก้าวๆ จงวางมือของท่านไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์และยอมให้พระองค์ทรงนำท่านไป {MH 85.1}

Never feel that Christ is far away. He is always near. His loving presence surrounds you. Seek Him as One who desires to be found of you. He desires you not only to touch His garments, but to walk with Him in constant communion. {MH 85.2}

จงอย่าได้รู้สึกว่าพระคริสต์ทรงอยู่ห่างไกลท่าน พระองค์ประทับอยู่ใกล้เสมอ ความรักของพระองค์ห้อมล้อมท่านไว้ จงแสวงหาพระองค์เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ท่านพบกับพระองค์ พระองค์ไม่ปรารถนาเพียงเพื่อจะให้ท่านแตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น แต่ให้ท่านได้เดินไปกับพระองค์และติดสนิทกับพระองค์ตลอดไป {MH 85.2}

"Go, and Sin No More."

“จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก”

The Feast of Tabernacles had just ended. The priests and rabbis at Jerusalem had been defeated in their plottings against Jesus, and, as evening fell, "every man went unto his own house. Jesus went unto the Mount of Olives." John 7:53; 8:1. {MH 86.1}

เทศกาลอยู่เพิงเพิ่งจะสิ้นสุดลง พวกปุโรหิตและอาจารย์รับบีที่กรุงเยรูซาเล็มที่ร่วมสมคบคิดกันเพื่อจะจับผิดพระเยซู แต่ทุกอย่างก็ต้องล้มเหลว และเมื่อยามค่ำคืนมาถึงแล้ว “ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตนแต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ” ยอห์น 7:53; 8:1 {MH 86.1}

From the excitement and confusion of the city, from the eager crowds and the treacherous rabbis, Jesus turned away to the quiet of the olive groves, where He could be alone with God. But in the early morning He returned to the temple; and as the people gathered about Him, He sat down and taught them. {MH 86.2}

เพื่อหลบลี้หนีจากความตื่นเต้นและความชุลมุนวุ่นวายภายในเมือง จากฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็นและพวกอาจารย์รับบีที่แฝงไว้ด้วยเล่ห์เพทุบาย พระเยซูจึงเสด็จไปหาที่อันสงบเงียบภายใต้ซุ้มมะกอกเทศ ที่ซึ่งพระองค์จะทรงอยู่ตามลำพังกับพระเจ้าได้ แต่เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่พระองค์เสด็จกลับไปยังวิหารและเมื่อฝูงชนเข้ามาจับกลุ่มห้อมล้อมพระองค์แล้ว จึงทรงนั่งลงและตรัสสั่งสอนพวกเขา {MH 86.2}

He was soon interrupted. A group of Pharisees and scribes approached Him, dragging with them a terror-stricken woman, whom with hard, eager voices they accused of having violated the seventh commandment. Pushing her into the presence of Jesus, they said, with a hypocritical display of respect, "Master, this woman was taken in adultery, in the very act. Now Moses in the law commanded us, that such should be stoned: but what sayest Thou?" Verses 4, 5. {MH 87.1}

ไม่ช้าต่อมาพระองค์ถูกขัดขวาง มีพวกฟาริสีและอาลักษณ์กลุ่มหนึ่งได้ฉุดลากหญิงผู้หนึ่งที่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวเข้ามาหาพระองค์ พวกเขาได้กล่าวหาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน รุนแรงว่านางได้ละเมิดพระบัญญัติข้อที่เจ็ด พวกเขาได้ผลักนางล้มลงต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเยซู แล้วเสแสร้งทำเป็นนับถือพระองค์ด้วยการทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้" ยอห์น 8:4, 5 {MH 87.1}

Their pretended reverence veiled a deep-laid plot for His ruin. Should Jesus acquit the woman, He might be charged with despising the law of Moses. Should He declare her worthy of death, He could be accused to the Romans as one who assumed authority belonging only to them. {MH 88.1}

การเสแสร้งทำเป็นนับถือพระองค์ก็เพื่อปกปิดแผนกลอุบายอันหลักแหลมที่จะทำลายพระองค์ หากพระเยซูทรงตัดสินว่าหญิงนั้นไม่มีความผิด พระองค์จะถูกกล่าวหาว่าพระองค์ทรงหมิ่นประมาทกฎหมายของโมเสส แต่หากพระองค์ประกาศว่าหญิงนั้นมีความผิดสมควรที่จะรับโทษถึงตาย พวกเขาก็จะฟ้องพระองค์ต่อพวกโรมันว่า พระองค์บังอาจถือสิทธิ์ในการตัดสินลงโทษซึ่งเป็นสิทธิอำนาจของพวกโรมันแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น {MH 88.1}

Jesus looked upon the scene--the trembling victim in her shame, the hard-faced dignitaries, devoid of even human pity. His spirit of stainless purity shrank from the spectacle. Giving no sign that He had heard the question, He stooped and, fixing His eyes upon the ground, began to write in the dust. {MH 88.2}

พระเยซูทรงทอดพระเนตรภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพหญิงเคราะห์ร้ายที่ตัวสั่นเทิ้มด้วยความอับอาย ภาพของพวกที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์ที่มีสีหน้าอำมหิตไร้ความปรานี และไม่มีแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พระทัยอันบริสุทธิ์ไร้มลทินของพระองค์ทรงเบือนพระพักตร์จากภาพเหล่านั้น พระองค์มิได้ทรงแสดงถึงสิ่งใดว่าพระองค์ทรงได้ยินคำทูลถาม แต่พระองค์ทรงโน้มพระกายลง และทรงจ้องมองไปที่พื้นดิน และทรงใช้นิ้วพระหัตถ์เขียนลงบนผงคลีนั้น {MH 88.2}

Impatient at His delay and apparent indifference the accusers drew nearer, urging the matter upon His attention. But as their eyes, following those of Jesus, fell upon the pavement at His feet, their voices were silenced. There, traced before them, were the guilty secrets of their own lives. {MH 88.3}

ด้วยความอดรนทนไม่ไหวที่พระองค์ทรงเนิ่นช้าและเห็นว่าพระองค์ทรงแสดงท่าทีเมินเฉย บรรดาผู้กล่าวหาจึงได้ขยับเข้ามาใกล้เพื่อเร่งเร้าให้พระองค์ทรงใส่พระทัยกับเรื่องนี้ แต่ขณะที่สายตาของพวกเขาได้เหลือบติดตามดูลายพระหัตถ์ของพระองค์ที่เขียนลงบนพื้นที่เบื้องพระบาทของพระองค์ เสียงของพวกเขาก็แน่นิ่งไป เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้านั่นก็คือ ความผิดที่พวกเขาได้แอบกระทำไว้อย่างลับๆ ในชีวิต {MH 88.3}

Rising, and fixing His eyes upon the plotting elders, Jesus said, "He that is without sin among you, let him first cast a stone at her." Verse 7. And, stooping down, He continued writing. {MH 88.4}

พระเยซูทรงลุกขึ้นและทรงจ้องมองไปที่พวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่คิดวางแผนร้ายต่อพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน" ยอห์น 8:7 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเขียนต่อไป {MH 88.4}

He had not set aside the Mosaic law nor infringed upon the authority of Rome. The accusers were defeated. Now, their robes of pretended holiness torn from them, they stood, guilty and condemned, in the presence of infinite purity. Trembling lest the hidden iniquity of their lives should be laid open to the multitude, with bowed heads and downcast eyes they stole away, leaving their victim with the pitying Saviour. {MH 88.5}

พระองค์มิได้ทรงละเลยข้อกฎหมายของโมเสสหรือล่วงละเมิดสิทธิอำนาจของชาวโรมัน ผู้กล่าวโทษพระองค์ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ บัดนี้เสื้อคลุมแห่งความบริสุทธิ์ที่เสแสร้งหลอกลวงได้ถูกฉีกออก พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความอับอายและเหมือนจะต้องถูกประณามอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ พวกเขาต่างรู้สึกสะดุ้งกลัว ด้วยเกรงว่าความชั่วร้ายที่ได้แอบซ่อนไว้ในชีวิตจะถูกเปิดเผยออกต่อหน้าฝูงชน พวกเขาจึงได้แอบถอยกลับไปอย่างเงียบๆ ด้วยศีรษะที่ก้มลงและทอดสายตาลงมองที่พื้น ปล่อยหญิงผู้เคราะห์ร้ายนั้นไว้กับพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร {MH 88.5}

Jesus arose and, looking upon the woman, said, "Where are those thine accusers? hath no man condemned thee? She said, No man, Lord. And Jesus said unto her, Neither do I condemn thee: go, and sin no more." Verses 10, 11. {MH 88.6}

พระเยซูทรงลุกขึ้นและทอดพระเนตรหญิงนั้นและตรัสว่า “พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ นางนั้นทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย และพระเยซูตรัสแก่นางว่า เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก” ยอห์น 8:10, 11 {MH 88.6}

The woman had stood before Jesus, cowering with fear. His words, "He that is without sin among you, let him first cast a stone," had come to her as a death sentence. She dared not lift her eyes to the Saviour's face, but silently awaited her doom. In astonishment she saw her accusers depart speechless and confounded; then those words of hope fell upon her ear, "Neither do I condemn thee: go, and sin no more." Her heart was melted, and, casting herself at the feet of Jesus, she sobbed out her grateful love and with bitter tears confessed her sins. {MH 89.1}

หญิงนั้นยืนตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอยู่เบื้องหน้าพระเยซู พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน” เป็นเสมือนหนึ่งคำตัดสินประหารชีวิตนาง นางไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอด ได้แต่นิ่งเงียบคอยรับชะตากรรมของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อนางเห็นว่า ผู้ที่กล่าวหานางได้จากไปอย่างเงียบๆ และอับอาย และแล้วนางก็ได้ยินถ้อยคำซึ่งให้ความหวังแก่นางว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก” จิตใจของนางได้หลอมละลาย และนางได้ซบกายลงแทบพระบาทของพระเยซู นางสะอื้นไห้ด้วยความรักที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและได้สารภาพบาปของนางทั้งน้ำตาแห่งความทุกข์ระทม {MH 89.1}

This was to her the beginning of a new life, a life of purity and peace, devoted to God. In the uplifting of this fallen soul, Jesus performed a greater miracle than in healing the most grievous physical disease; He cured the spiritual malady which is unto death everlasting. This penitent woman became one of His most steadfast followers. With self-sacrificing love and devotion she showed her gratitude for His forgiving mercy. For this erring woman the world had only contempt and scorn, but the Sinless One pitied her weakness and reached to her a helping hand. While the hypocritical Pharisees denounced, Jesus bade her, "Go, and sin no more." {MH 89.2}

สิ่งนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของนาง เป็นชีวิตแห่งความบริสุทธิ์และสันติสุขที่ได้อุทิศถวายแด่พระเจ้า การที่พระเยซูได้ทรงยกชูจิตวิญญาณที่ได้หลงไปในบาปนี้ พระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการรักษาโรคทางกายที่ร้ายแรงที่สุด พระองค์ทรงรักษาความเจ็บป่วยในฝ่ายจิตวิญญาณที่นำไปสู่ความตายชั่วนิรันดร์ หญิงผู้สำนึกผิดคนนี้ได้กลายมาเป็นสาวกผู้ติดตามของพระองค์ที่มีความภักดีมากที่สุดคนหนึ่ง นางได้แสดงออกถึงการขอบพระคุณในพระกรุณาธิคุณที่ทรงอภัยต่อความผิดบาปของนางด้วยความรักที่สำแดงออกในการเสียสละตนเองและการอุทิศถวาย เกี่ยวกับหญิงผู้กระทำผิดนี้ โลกมีเพียงแต่คำดูหมิ่นและความเหยียดหยาม แต่กับพระองค์ผู้ทรงปราศจากความผิดบาป พระองค์ทรงเมตตาสงสารในความอ่อนแอของนางและทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปเพื่อให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่พวกฟาริสีผู้หน้าซื่อใจคดได้แต่กล่าวประณาม แต่พระเยซูทรงรับสั่งกับนางว่า “จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก” {MH 89.2}

Jesus knows the circumstances of every soul. The greater the sinner's guilt, the more he needs the Saviour. His heart of divine love and sympathy is drawn out most of all for the one who is the most hopelessly entangled in the snares of the enemy. With His own blood He has signed the emancipation papers of the race. {MH 89.3}

พระเยซูทรงตระหนักดีถึงสภาพจิตวิญญาณของทุกๆ คนว่า ความผิดบาปของเขายิ่งมีมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมีความต้องการพระผู้ช่วยให้รอดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น พระหทัยของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความรักอันพิสุทธิ์และความเมตตาสงสารทรงเพรียกหาคนทั้งหลายที่ตกอยู่ในบ่วงแร้วของศัตรูอย่างไร้ซึ่งความหวัง ด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ได้ทรงลงพระนามในหนังสือสำคัญที่ได้แสดงเจตจำนงว่าพระองค์จะทรงปลดเปลื้องมนุษยชาติให้พ้นจากพันธนาการ {MH 89.3}

Jesus does not desire those who have been purchased at such a cost to become the sport of the enemy's temptations. He does not desire us to be overcome and perish. He who curbed the lions in their den, and walked with His faithful witnesses amid the fiery flames, is just as ready to work in our behalf to subdue every evil in our nature. Today He is standing at the altar of mercy, presenting before God the prayers of those who desire His help. He turns no weeping, contrite one away. Freely will He pardon all who come to Him for forgiveness and restoration. He does not tell to any all that He might reveal, but He bids every trembling soul take courage. Whosoever will, may take hold of God's strength, and make peace with Him, and He will make peace. {MH 90.1}

พระเยซูมิทรงปรารถนาให้ผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยราคาอันสูงค่าเช่นนี้ต้องกลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในการทดลองของศัตรู พระองค์มิทรงปรารถนาให้เราต้องพ่ายแพ้และถึงซึ่งกับความพินาศ พระองค์ผู้ทรงปิดปากสิงห์ในถ้ำสิงโตและทรงดำเนินร่วมกับพยานผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ร้อนแรง ทรงพร้อมที่จะประกอบกิจแทนเราเพื่อขจัดความชั่วร้ายทุกประการที่อยู่ในธรรมชาติของเรา ในวันนี้พระองค์กำลังประทับอยู่ที่แท่นบูชาแห่งพระกรุณา ทรงกำลังนำคำอธิษฐานของผู้ที่ปรารถนาจะให้พระองค์ทรงช่วยเหลือทูลขอต่อพระเจ้า พระองค์จะมิทรงปฏิเสธผู้ที่มีความโศกาอาดูรและมีจิตใจที่สำนึกผิด พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะทรงอภัยให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อขอให้พระองค์ทรงยกโทษในความผิดบาปและช่วยให้เราได้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ชอบธรรมดังเดิม พระองค์มิได้ทรงบอกทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสามารถเปิดเผยได้ให้แก่มนุษย์ทุกคน แต่พระองค์ทรงรับสั่งแก่จิตวิญญาณของทุกคนที่เป็นทุกข์ให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ผู้ใดที่ตั้งมั่นอยู่ในพระกำลังของพระเจ้าและได้คืนดีกับพระองค์ พระองค์ก็จะทรงทำสันติภาพให้เกิดขึ้น {MH 90.1}

The souls that turn to Him for refuge, Jesus lifts above the accusing and the strife of tongues. No man or evil angel can impeach these souls. Christ unites them to His own divine-human nature. They stand beside the great Sin Bearer in the light proceeding from the throne of God. {MH 90.2}

บรรดาจิตวิญญาณที่ได้เข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์นั้น พระเยซูจะทรงยกชูเขาขึ้นให้พ้นจากลิ้นที่กล่าวโทษและทะเลาะวิวาท ไม่มีมนุษย์คนใดหรือทูตสวรรค์ชั่วร้ายองค์ไหนที่สามารถจะกล่าวหาจิตวิญญาณเหล่านี้ได้ พระคริสต์ทรงโปรดให้พวกเขาได้เข้าสนิทในธรรมชาติแห่งความเป็นพระเจ้าและความเป็นมนุษย์ของพระองค์เอง พวกเขาจะได้ยืนเคียงข้างกับพระผู้ทรงรับความผิดบาปไปภายใต้รัศมีที่ส่องมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า {MH 90.2}

The blood of Jesus Christ cleanses "from all sin." 1 John 1:7. {MH 90.3}

พระโลหิตของพระคริสต์ชำระให้ “ปราศจากบาปทั้งสิ้น” 1 ยอห์น 1:7 {MH 90.3}

"Who shall lay anything to the charge of God's elect? It is God that justifieth. Who is he that condemneth? It is Christ that died, yea rather, that is risen again, who is even at the right hand of God, who also maketh intercession for us." Romans 8:33, 34. {MH 90.4}

“ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย สถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย” โรม 8:33, 34 {MH 90.4}

Over the winds and the waves, and over men possessed of demons, Christ showed that He had absolute control. He who stilled the tempest and calmed the troubled sea spoke peace to minds distracted and overborne by Satan. {MH 91.1}

พระคริสต์ทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจอันไม่จำกัดเหนือลมและคลื่นและผู้ที่ถูกผีเข้าสิง พระองค์ผู้ทรงห้ามพายุและทำให้ท้องทะเลอันปั่นป่วนได้สงบลง ตรัสความสันติสุขให้บังเกิดขึ้นในจิตใจที่ว้าวุ่นสับสนและตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน {MH 91.1}

In the synagogue at Capernaum, Jesus was speaking of His mission to set free the slaves of sin. He was interrupted by a shriek of terror. A madman rushed forward from among the people, crying out, "Let us alone; what have we to do with Thee, Thou Jesus of Nazareth? art Thou come to destroy us? I know Thee who Thou art, the Holy One of God." Mark 1:24. {MH 91.2}

ในธรรมศาลาที่เมืองคาเปอรนาอุม พระเยซูตรัสถึงพระราชภารกิจของพระองค์ที่จะทรงปลดปล่อยผู้ที่ตกเป็นทาสแห่งบาปให้ได้เป็นอิสระ แต่พระองค์ต้องทรงหยุดชะงักลงกลางคันเพราะมีเสียงหวีดร้องแหลมขึ้นมาอย่างน่ากลัว มีชายบ้าคลั่งคนหนึ่งวิ่งแร่ออกมาจากท่ามกลางคนเหล่านั้น และร้องเสียงดังว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาทำลายพวกเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" มาระโก 1:24 {MH 91.2}

Jesus rebuked the demon, saying, "Hold thy peace, and come out of him. And when the devil had thrown him in the midst, he came out of him, and hurt him not." Luke 4:35. {MH 91.3}

พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า “จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซี เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชุมชน แล้วก็ออกมาจากเขาแต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย” ลูกา 4:35 {MH 91.3}

The cause of this man's affliction also was in his own life. He had been fascinated with the pleasures of sin and had thought to make life a grand carnival. Intemperance and frivolity perverted the noble attributes of his nature, and Satan took entire control of him. Remorse came too late. When he would have sacrificed wealth and pleasure to regain his lost manhood he had become helpless in the grasp of the evil one. {MH 91.4}

สาเหตุที่ทำให้ชายผู้นี้ต้องทนทุกข์ทรมานนั้นเกิดมาจากชีวิตของเขาเอง เขาได้ลุ่มหลงเพลิดเพลินอยู่กับความสนุกสนานที่ผิดบาปและได้เที่ยวเตร่ประหนึ่งชีวิตเป็นงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ การขาดความยับยั้งชั่งใจและการไม่เอาจริงเอาจังในชีวิตจึงทำให้คุณสมบัติอันดีงามในอุปนิสัยของเขาต้องเสื่อมทรามลงและซาตานได้เข้ามามีอำนาจควบคุมเหนือตัวเขาได้อย่างสิ้นเชิง กว่าเขาจะรู้สึกเสียใจที่ได้ทำผิดไปก็สายเกินแก้ แม้ว่าเขาจะยินดีสละทรัพย์สมบัติและความสุขที่มีอยู่เพื่อหวังจะได้ความเป็นมนุษย์ของเขากลับคืนมา แต่เขาก็ช่วยตัวเองไม่ได้และหมดสิ้นหนทางเพราะได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานแล้ว {MH 91.4}

In the Saviour's presence he was roused to long for freedom, but the demon resisted the power of Christ. When the man tried to appeal to Jesus for help, the evil spirit put words into his mouth, and he cried out in an agony of fear. The demoniac partially comprehended that he was in the presence of One who could set him free; but when he tried to come within reach of that mighty hand, another's will held him, another's words found utterance through him. {MH 91.5}

เมื่อเขาได้เข้ามาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอด จึงเป็นสิ่งที่ดลจิตใจให้เขาปรารถนาที่จะได้เป็นอิสระ แต่ผีร้ายได้ต่อต้านฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ เมื่อชายคนนี้พยายามวิงวอนขอให้พระเยซูทรงช่วยเหลือเขา วิญญาณชั่วร้ายได้ใส่คำพูดเข้าไปในปากและเขาได้หวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานอันเกิดจากความหวาดกลัวที่มีอยู่ภายใน ชายที่ถูกผีเข้าสิงพอที่จะเข้าใจได้บ้างว่าเขากำลังอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงสามารถที่จะปลดปล่อยเขาให้ได้รับอิสรภาพได้ แต่เมื่อเขาพยายามที่จะมาให้ถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ อำนาจอีกอย่างหนึ่งก็ได้เหนี่ยวรั้งเขาไว้ มันได้บันดาลให้เขากล่าวถ้อยคำอื่นๆ ออกมาแทน {MH 91.5}

The conflict between the power of Satan and his own desire for freedom was terrible. It seemed that the tortured man must lose his life in the struggle with the foe that had been the ruin of his manhood. But the Saviour spoke with authority and set the captive free. The man who had been possessed stood before the wondering people in the freedom of self-possession. {MH 92.1}

การต่อสู้ระหว่างอำนาจของซาตานและความปรารถนาของเขาเองที่จะได้เป็นอิสระนั้นเป็นไปอย่างรุนแรง ดูประหนึ่งว่าชายที่เจ็บปวดทรมานอยู่นั้นจะต้องสูญเสียชีวิตของเขาในการดิ้นรนต่อสู้กับศัตรูที่ได้เป็นต้นเหตุของความพินาศในวัยหนุ่มของเขา แต่พระผู้ช่วยให้รอดได้ตรัสสั่งด้วยสิทธิอำนาจและทรงปลดปล่อยชายที่ตกเป็นเชลยให้เป็นอิสระ ชายคนที่ถูกผีสิงยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นเขาได้เป็นอิสระและกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง {MH 92.1}

With glad voice he praised God for deliverance. The eye that had so lately glared with the fire of insanity now beamed with intelligence and overflowed with grateful tears. The people were dumb with amazement. As soon as they recovered speech they exclaimed one to another, "What is this? a new teaching! with authority He commandeth even the unclean spirits, and they obey Him." Mark 1:27, R.V. {MH 92.2}

เขาได้สรรเสริญพระเจ้าด้วยความปีติยินดีที่ได้ทรงปลดเปลื้องเขาออกจากบ่วงมาร ดวงตาถมึงทึงที่เมื่อก่อนเคยลุกเป็นไฟด้วยความบ้าคลั่ง แต่บัดนี้ ได้ฉายแววแห่งความรู้สึกนึกคิดและหยาดน้ำตาที่ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณได้เอ่อท้นเต็มเบ้า ฝูงชนเหล่านั้นพากันตะลึงงันด้วยความพิศวง และในทันทีที่ได้สติ พวกเขาพากันร้องอุทานถามว่า “การนี้เป็นอย่างไรหนอ เป็นคำสั่งสอนใหม่แน่ ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันจำต้องฟัง" มาระโก 1:27 {MH 92.2}

There are multitudes today as truly under the power of evil spirits as was the demoniac of Capernaum. All who willfully depart from God's commandments are placing themselves under the control of Satan. Many a man tampers with evil, thinking that he can break away at pleasure; but he is lured on and on, until he finds himself controlled by a will stronger than his own. He cannot escape its mysterious power. Secret sin or master passion may hold him a captive as helpless as was the demoniac of Capernaum. {MH 92.3}

ในทุกวันนี้ มีผู้คนมากมายที่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของวิญญาณชั่วร้ายเช่นเดียวกับชายที่ถูกผีสิงในเมืองคาเปอรนาอูม คนทั้งหลายที่เจตนาจะละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้ากำลังมอบตัวเองไว้ภายใต้อำนาจการควบคุมของซาตาน หลายคนได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความชั่วร้าย โดยคิดว่าตัวเองจะสลัดความเลวร้ายนั้นให้หลุดพ้นออกไปได้เมื่อเขาต้องการ แต่เขากลับถูกล่อลวงให้หลงผิดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขารู้สึกตัวว่าได้ถูกบังคับโดยอำนาจที่เข้มแข็งกว่า เขาไม่อาจที่จะหลีกหนีจากอำนาจลึกลับนี้ได้ บาปอันลี้ลับหรือกิเลสตัณหาที่มีพลังอำนาจครอบงำย่อมจะกักเขาไว้เป็นเชลยอย่างสิ้นท่าเช่นเดียวกับคนที่ถูกผีสิงในเมืองคาเปอรนาอุม {MH 92.3}

Yet his condition is not hopeless. God does not control our minds without our consent; but every man is free to choose what power he will have to rule over him. None have fallen so low, none are so vile, but that they may find deliverance in Christ. The demoniac, in place of prayer, could utter only the words of Satan; yet the heart's unspoken appeal was heard. No cry from a soul in need, though it fail of utterance in words, will be unheeded. Those who consent to enter into covenant with God are not left to the power of Satan or to the infirmity of their own nature. {MH 93.1}

ถึงกระนั้นสภาพของเขาก็ยังไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว พระเจ้ามิทรงบังคับจิตใจของเราโดยที่เราไม่ยินยอม แต่มนุษย์ทุกคนมีเสรีที่จะเลือกได้ว่าเขาจะยอมให้อำนาจใดได้ครอบครองเขา ไม่มีใครที่จะตกต่ำหรือชั่วช้าเกินกว่าที่จะได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากอำนาจชั่วร้ายโดยพระคริสต์ คนที่ถูกผีสิงกล่าวได้แต่เพียงคำพูดของซาตาน แทนที่จะเป็นคำอธิษฐาน แต่กระนั้นพระเยซูก็ทรงได้ยินคำวิงวอนร้องขอที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่อยู่ภายในจิตใจของชายผู้นั้น พระองค์มิได้ทรงมองข้ามจิตวิญญาณที่แม้มิได้ร้องทุกข์ออกมาเป็นคำพูดก็ตาม คนทั้งหลายที่ได้ยอมเข้าร่วมในพันธสัญญากับพระเจ้าจะไม่ถูกทอดทิ้งให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานหรือตกอยู่ภายใต้สภาพธรรมชาติอันอ่อนแอของเขาเอง {MH 93.1}

"Shall the prey be taken from the mighty, or the lawful captive delivered? . . . Thus saith the Lord, Even the captives of the mighty shall be taken away, and the prey of the terrible shall be delivered: for I will contend with him that contendeth with thee, and I will save thy children." Isaiah 49:24, 25. {MH 93.2}

“จะเอาเหยื่อไปจากผู้มีกำลัง หรือจะช่วยเชลยของผู้ชนะให้พ้นได้หรือ......พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า แม้เชลยของผู้มีกำลังก็จะต้องเอาไป และเหยื่อของผู้น่ากลัวก็ต้องช่วยให้พ้น เพราะเราจะต่อสู้กับผู้ที่ต่อสู้เจ้า และจะช่วยบุตรของเจ้าให้รอด” อิสยาห์ 49:24, 25 {MH 93.2}

Marvelous will be the transformation wrought in him who by faith opens the door of the heart to the Saviour. {MH 93.3}

ความเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์จะก่อเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เปิดประตูต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอด {MH 93.3}

"I Give Unto You Power."

“เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจ”

Like the twelve apostles, the seventy disciples whom Christ sent forth later received supernatural endowments as a seal of their mission. When their work was completed, they returned with joy, saying, "Lord, even the devils are subject unto us through Thy name." Jesus answered, "I beheld Satan as lightning fall from heaven." Luke 10:17, 18. {MH 94.1}

เช่นเดียวกับอัครสาวกทั้งสิบสองคน สาวกอีกเจ็ดสิบคนที่พระคริสต์ทรงส่งออกไปในเวลาต่อมานั้นก็ได้รับฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติอันเปรียบเสมือนการประทับตรารับรองในภารกิจของเขาด้วยเช่นกัน เมื่องานของพวกเขาได้สำเร็จลุล่วงแล้ว พวกเขาได้กลับมาด้วยความปีติยินดี และพูดกันว่า "พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า เราได้เห็นซาตาน ตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” ลูกา 10:17, 18 {MH 94.1}

Henceforth Christ's followers are to look upon Satan as a conquered foe. Upon the cross, Jesus was to gain the victory for them; that victory He desired them to accept as their own. "Behold," He said, "I give unto you power to tread on serpents and scorpions, and over all the power of the enemy: and nothing shall by any means hurt you." Verse 19. {MH 94.2}

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สาวกผู้ติดตามของพระคริสต์จึงได้ถือว่าซาตานเป็นศัตรูที่พวกเขาได้มีชัยเหนือแล้ว ที่บนกางเขน พระเยซูทรงได้รับชัยชนะมาเพื่อพวกเขา อันเป็นชัยชนะที่พระองค์ทรงปรารถนาให้พวกเขาได้รับไว้เป็นของเขาเอง พระองค์ตรัสว่า “ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย” ลูกา 10:19 {MH 94.2}

The omnipotent power of the Holy Spirit is the defense of every contrite soul. No one who in penitence and faith has claimed His protection will Christ permit to pass under the enemy's power. It is true that Satan is a powerful being; but, thank God, we have a mighty Saviour, who cast out the evil one from heaven. Satan is pleased when we magnify his power. Why not talk of Jesus? Why not magnify His power and His love? {MH 94.3}

พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงมีฤทธิ์ทุกอย่าง ทรงคุ้มครองจิตวิญญาณของทุกคนที่สำนึกในความผิด ผู้เสียใจต่อสิ่งที่ได้ทำผิดและมีความเชื่อ เมื่อร้องขอให้พระคริสต์คุ้มครอง พระองค์จะไม่ให้ผู้นั้นต้องตกอยู่ใต้อำนาจของศัตรู จริงอยู่ที่ซาตานมีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่เรามีพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผู้ทรงขับไล่ซาตานออกไปจากสวรรค์ ซาตานพอใจเมื่อเราพูดเยินยอถึงอำนาจของมัน เพราะเหตุใด เราถึงไม่กล่าวถึงพระเยซู เหตุใดเราจึงไม่สรรเสริญถึงฤทธานุภาพและความรักของพระองค์ {MH 94.3}

The rainbow of promise encircling the throne on high is an everlasting testimony that "God so loved the world, that He gave His only-begotten Son, that whosoever believeth in Him should not perish, but have everlasting life." John 3:16. It testifies to the universe that God will never forsake His children in the struggle with evil. It is an assurance to us of strength and protection as long as the throne itself shall endure. {MH 94.4}

รุ้งแห่งคำสัญญาที่ล้อมรอบพระที่นั่ง ณ เบื้องบน เป็นคำพยานดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ว่า “พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 3:16 รุ้งแห่งคำสัญญาเป็นพยานยืนยันแก่จักรวาลว่า พระเจ้าจะมิได้ทอดทิ้งบุตรทั้งหลายของพระองค์ให้ต่อสู้กับอำนาจของความชั่วร้าย สิ่งนี้ช่วยทำให้เรามีความมั่นใจว่าตราบใดที่พระที่นั่งของพระเจ้ายังดำรงอยู่ พระองค์จะประทานกำลังและคุ้มครองป้องกันแก่เราตลอดไป {MH 94.4}

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [27] [28] [29] [30] [31] [32] [33] [34] [35] [36] [37] [38] [39] [40] [41] [42] [43]