FOREWORD CHAPTER 2

Chapter 1 (บทที่ 1)
God's Love for Man
ความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่มนุษย์
Thai audio version. Please connect to internet to listen

Nature and revelation alike testify of God's love. Our Father in heaven is the source of life, of wisdom, and of joy. Look at the wonderful and beautiful things of nature. Think of their marvelous adaptation to the needs and happiness, not only of man, but of all living creatures. The sunshine and the rain, that gladden and refresh the earth, the hills and seas and plains, all speak to us of the Creator's love. It is God who supplies the daily needs of all His creatures. In the beautiful words of the psalmist--

ธรรมชาติและพระคัมภีร์ต่างเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า พระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ของเราทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต สติปัญญาและความชื่นชมยินดี จงมองดูธรรมชาติที่แสนอัศจรรย์และงดงาม ลองพิจารณาถึงธรรมชาติที่ปรับเปลี่ยนสภาพของตนเองได้อย่างน่าพิศวง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล แสงแดดและสายฝนที่นำความสุขและความสดชื่นมาให้แก่พื้นผิวโลก เนินเขา ทะเลและพื้นที่ราบ ต่างบอกให้เราทราบถึงเรื่องความรักของพระผู้ทรงสร้างโลก พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ผู้ประพันธ์สดุดีได้บรรยายไว้อย่างงดงามว่า

"The eyes of all wait upon Thee; And Thou givest them their meat in due season. Thou openest Thine hand, And satisfiest the desire of every living thing." Psalm 145:15, 16. {SC 9.1}

“ตาแห่งสรรพสัตว์ที่คอยท่าพระองค์อยู่ พระองค์ทรงประทานอาหารตามเวลา พระองค์ทรงแบพระหัตถ์ ประทานแก่สรรพสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ให้อิ่มตามความประสงค์” สดุดี 145:15, 16 {SC 9.1}

God made man perfectly holy and happy; and the fair earth, as it came from the Creator's hand, bore no blight of decay or shadow of the curse. It is transgression of God's law--the law of love--that has brought woe and death. Yet even amid the suffering that results from sin, God's love is revealed. It is written that God cursed the ground for man's sake. Genesis 3:17.

พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมและมีความสุข โลกที่สวยงามซึ่งสร้างโดยฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างนั้นไม่มีร่องรอยของการเปื่อยเน่าหรือเงาของความเลวร้าย ความหายนะและความตายเข้ามาในโลกนี้ได้ก็เนื่องจากการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเป็นพระบัญญัติแห่งความรัก แต่ท่ามกลางความทุกข์ระทมซึ่งเป็นผลของความบาป ความรักของพระผู้เป็นเจ้าก็ยังคงสำแดงให้ประจักษ์ พระวจนะได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าทรงแช่งสาปผืนแผ่นดินก็เพื่อเห็นแก่มนุษย์ (ปฐมกาล 3:17)

The thorn and the thistle--the difficulties and trials that make his life one of toil and care--were appointed for his good as a part of the training needful in God's plan for his uplifting from the ruin and degradation that sin has wrought. The world, though fallen, is not all sorrow and misery. In nature itself are messages of hope and comfort. There are flowers upon the thistles, and the thorns are covered with roses. {SC 9.2}

ความทุกข์ยากและความลำบากที่เป็นเหมือนเสี้ยนหนาม ซึ่งทำให้ชีวิตของมนุษย์ต้องตรากตรำและเป็นภาระนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อประโยชน์แก่เขา เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในแผนการของพระองค์ที่จะฉุดเขาให้พ้นจากความหายนะและความเสื่อมสลายที่เป็นผลจากความบาป ถึงแม้โลกนี้ได้แพ้พ่ายต่อความบาป แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่ความโศกเศร้าและความน่าสังเวช ท่ามกลางธรรมชาติยังมีข่าวประเสริฐแห่งความหวังและกำลังใจ เฉกเช่นดอกไม้ท่ามกลางคมหนาม และพงหนามก็ยังถูกประดับด้วยดอกกุหลาบงาม {SC 9.2}

"God is love" is written upon every opening bud, upon every spire of springing grass. The lovely birds making the air vocal with their happy songs, the delicately tinted flowers in their perfection perfuming the air, the lofty trees of the forest with their rich foliage of living green -- all testify to the tender, fatherly care of our God and to His desire to make His children happy. {SC 10.1}

บนดอกไม้ที่กำลังผลิบาน บนยอดใบเรียวงามของต้นหญ้าที่งอกขึ้นมา ต่างจารึกว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” นกน่ารักที่ส่งเสียงร้องก้องในอากาศด้วยบทเพลงไพเราะแห่งความสุข ดอกไม้ที่ถูกแต่งแต้มอย่างปราณีตที่ส่งกลิ่นหอมอันดีเลิศให้แก่บรรยากาศ ต้นไม้สูงใหญ่ในป่าที่ปกคลุมด้วยใบเขียวชอุ่ม ต่างเป็นพยานให้เห็นว่าพระเจ้าของเราทรงรักใคร่และห่วงใยเยี่ยงพ่อ และทรงต้องการให้บุตรทั้งหลายของพระองค์มีความสุข {SC 10.1}

The word of God reveals His character. He Himself has declared His infinite love and pity. When Moses prayed, "Show me Thy glory," the Lord answered, "I will make all My goodness pass before thee." Exodus 33:18, 19.

พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยให้เห็นพระลักษณะของพระองค์ พระองค์ได้ทรงประกาศถึงความรักและพระเมตตาคุณอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระองค์เอง เมื่อโมเสสกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์” นั้น พระเจ้าทรงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า” (อพยพ 33:18, 19)

This is His glory. The Lord passed before Moses, and proclaimed, "The Lord, The Lord God, merciful and gracious, long-suffering, and abundant in goodness and truth, keeping mercy for thousands, forgiving iniquity and transgression and sin." Exodus 34:6, 7. He is "slow to anger, and of great kindness," "because He delighteth in mercy." Jonah 4:2; Micah 7:18. {SC 10.2}

นี่คือพระสิริของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จผ่านโมเสสไป และพระองค์ทรงประกาศว่า “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด การทรยศ และบาปของเขาเสีย” (อพยพ 34:6, 7) พระองค์ “ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่งคง” “เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความรักมั่นคง” (โยนาห์ 4:2; มีคาห์ 7:18) {SC 10.2}

God has bound our hearts to Him by unnumbered tokens in heaven and in earth. Through the things of nature, and the deepest and tenderest earthly ties that human hearts can know, He has sought to reveal Himself to us. Yet these but imperfectly represent His love. Though all these evidences have been given, the enemy of good blinded the minds of men, so that they looked upon God with fear; they thought of Him as severe and unforgiving.

พระเจ้าทรงประทานสิ่งของมากมายทั้งจากสวรรค์และจากโลกนี้เพื่อผูกมัดจิตใจของเราไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงใช้สิ่งต่างๆในธรรมชาติและทรงใช้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้งที่สุดที่มีในโลกเท่าที่จิตใจของมนุษย์จะรู้จัก เพื่อสำแดงตัวพระองค์เองให้แก่เรา แต่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความรักของพระองค์ได้ไม่บริบูรณ์ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงโปรดประทานหลักฐานต่างๆทั้งหมดแล้วก็ตาม แต่ศัตรูของความดีได้บดบังความนึกคิดของมนุษย์ จนพวกเขามองดูพระเจ้าด้วยความหวาดกลัว พวกเขามองว่าพระองค์ทรงโหดร้ายและไม่ให้อภัย

Satan led men to conceive of God as a being whose chief attribute is stern justice,--one who is a severe judge, a harsh, exacting creditor. He pictured the Creator as a being who is watching with jealous eye to discern the errors and mistakes of men, that He may visit judgments upon them. It was to remove this dark shadow, by revealing to the world the infinite love of God, that Jesus came to live among men. {SC 10.3}

ซาตานชักนำมนุษย์ให้เข้าใจว่า พระลักษณะสำคัญที่สุดของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด เป็นผู้ตัดสินที่โหดเหี้ยม รุนแรง เป็นเจ้าหนี้ที่เกรี้ยวกราด ซาตานวาดภาพพระผู้สร้างให้เป็นผู้ที่จ้องมองมนุษย์ด้วยดวงตาที่ริษยาเพื่อคอยจับผิดและหาข้อผิดพลาดและนำมนุษย์มาลงโทษ เพื่อที่จะขจัดเงามืดนี้และแสดงให้เห็นถึงความรักอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า พระเยซูจึงได้ทรงเสด็จลงมาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ {SC 10.3}

The Son of God came from heaven to make manifest the Father. "No man hath seen God at any time; the only begotten Son, which is in the bosom of the Father, He hath declared Him." John 1:18. "Neither knoweth any man the Father, save the Son, and he to whomsoever the Son will reveal Him." Matthew 11:27.

พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์เพื่อเปิดเผยพระบิดาให้ประจักษ์ “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” (ยอห์น 1:18) “ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้” (มัทธิว 11:27)

When one of the disciples made the request, "Show us the Father," Jesus answered, "Have I been so long time with you, and yet hast thou not known Me, Philip? He that hath seen Me hath seen the Father; and how sayest thou then, Show us the Father?" John 14:8, 9. {SC 11.1}

เมื่อสาวกคนหนึ่งทูลขอว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น” (ยอห์น 14:8, 9) {SC 11.1}

In describing His earthly mission, Jesus said, The Lord "hath anointed Me to preach the gospel to the poor; He hath sent Me to heal the brokenhearted, to preach deliverance to the captives, and recovering of sight to the blind, to set at liberty them that are bruised." Luke 4:18.

พระเยซูตรัสถึงพระราชกิจของพระองค์ในโลกว่า พระเจ้า “ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ” (ลูกา 4:18)

This was His work. He went about doing good and healing all that were oppressed by Satan. There were whole villages where there was not a moan of sickness in any house, for He had passed through them and healed all their sick. His work gave evidence of His divine anointing. Love, mercy, and compassion were revealed in every act of His life; His heart went out in tender sympathy to the children of men.

นี่เป็นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อทำการดีและรักษาผู้ที่ถูกซาตานครอบงำไว้ให้หาย หมู่บ้านหลายแห่งไม่มีบ้านใดที่มีเสียงร้องคร่ำครวญของความเจ็บป่วยเลย เพราะพระองค์เสด็จดำเนินเข้าไปและทรงรักษาคนป่วยในบ้านเรือนเหล่านั้น พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงเจิมพระองค์ พระราชกิจทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของพระองค์ ได้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ พระทัยของพระองค์ทรงเมตตาสงสารเหล่าบุตรของมนุษย์

He took man's nature, that He might reach man's wants. The poorest and humblest were not afraid to approach Him. Even little children were attracted to Him. They loved to climb upon His knees and gaze into the pensive face, benignant with love. {SC 11.2}

พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อพระองค์จะทรงเข้าถึงความต้องการของมนุษย์ได้ ผู้ที่ยากจนและต่ำต้อยที่สุดไม่กลัวที่จะเข้ามาหาพระองค์ แม้เด็กเล็กๆก็ยังหลงใหลในพระองค์ พวกเขาชอบที่จะขึ้นนั่งบนตักของพระองค์และจ้องมองดูพระพักตร์ที่เศร้าหมองแต่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก {SC 11.2}

Jesus did not suppress one word of truth, but He uttered it always in love. He exercised the greatest tact and thoughtful, kind attention in His intercourse with the people. He was never rude, never needlessly spoke a severe word, never gave needless pain to a sensitive soul. He did not censure human weakness.

พระเยซูไม่ทรงปิดบังความจริงแม้เพียงคำเดียว แต่พระองค์ทรงตรัสความจริงเหล่านั้นด้วยความรักเสมอ เมื่อพระองค์ทรงติดต่อกับคนทั้งหลาย พระองค์ทรงใช้ไหวพริบและความรอบคอบและความสนพระทัยที่เปี่ยมด้วยความเมตตา พระองค์ไม่เคยหยาบคาย ไม่เคยตรัสคำพูดที่รุนแรงโดยไม่จำเป็น ไม่เคยทำให้จิตวิญญาณที่อ่อนไหวต้องได้รับความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น พระองค์ไม่ได้ตำหนิความอ่อนแอของมนุษย์

He spoke the truth, but always in love. He denounced hypocrisy, unbelief, and iniquity; but tears were in His voice as He uttered His scathing rebukes. He wept over Jerusalem, the city He loved, which refused to receive Him, the way, the truth, and the life. They had rejected Him, the Saviour, but He regarded them with pitying tenderness.

พระองค์ทรงตรัสอย่างตรงไปตรงมา แต่ทรงตรัสด้วยความรักเสมอ พระองค์ทรงประณามความหน้าซื่อใจคด ความไม่เชื่อ และความชั่ว แต่ขณะเมื่อพระองค์ทรงตำหนิด้วยคำพูดที่เสียดแทงนั้น พระสุรเสียงของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พระองค์ทรงกันแสงให้แก่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ทรงรัก เป็นเมืองที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต พวกเขาปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่พระองค์ยังทรงมองดูพวกเขาด้วยความอ่อนโยนสงสาร

His life was one of self-denial and thoughtful care for others. Every soul was precious in His eyes. While He ever bore Himself with divine dignity, He bowed with the tenderest regard to every member of the family of God. In all men He saw fallen souls whom it was His mission to save. {SC 12.1}

พระองค์ทรงมีชีวิตที่ละทิ้งตนเองและเอาใจใส่ผู้อื่นจิตวิญญาณทุกดวงมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์เองเคยทรงดำรงไว้ซึ่งฐานันดรศักดิ์ของพระเจ้า แต่พระองค์ทรงก้มลงมายังสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพระเจ้าด้วยความสนใจอย่างที่สุด พระองค์ทรงมองดูมนุษย์ทุกคนและทรงมองเห็นจิตวิญญาณที่ล้มลงในบาป ซึ่งเป็นพันธกิจที่พระองค์ทรงต้องการช่วยจิตวิญญาณเหล่านี้ให้รอด {SC 12.1}

Such is the character of Christ as revealed in His life. This is the character of God. It is from the Father's heart that the streams of divine compassion, manifest in Christ, flow out to the children of men. Jesus, the tender, pitying Saviour, was God "manifest in the flesh." 1 Timothy 3:16. {SC 12.2}

นี่เป็นพระลักษณะของพระคริสต์ตามที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตของพระองค์ พระเจ้าทรงมีพระลักษณะเช่นเดียวกัน พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ไหลบ่ามาจากพระทัยของพระบิดา ได้ปรากฏให้เห็นในพระคริสต์ และได้ไหลบ่าไปยังบรรดาบุตรทั้งหลายของมนุษย์ พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและความสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าเสด็จมา ”ปรากฏเป็นมนุษย์” (1 ทิโมธี 3:16) {SC 12.2}

It was to redeem us that Jesus lived and suffered and died. He became "a Man of Sorrows," that we might be made partakers of everlasting joy. God permitted His beloved Son, full of grace and truth, to come from a world of indescribable glory, to a world marred and blighted with sin, darkened with the shadow of death and the curse. He permitted Him to leave the bosom of His love, the adoration of the angels, to suffer shame, insult, humiliation, hatred, and death. "The chastisement of our peace was upon Him; and with His stripes we are healed." Isaiah 53:5.

พระเยซูเสด็จมาในโลกและทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์จึงได้กลาย “เป็นคนที่รับความเศร้าโศก” (อิสยาห์ 53:3) เพื่อเราจะได้รับความสุขนิรันดร พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระบุตรที่พระองค์ทรงรัก พระบุตรผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณและความจริง เสด็จลงมาจากโลกที่มีรัศมีอันสุดจะบรรยายได้ มายังโลกที่เปรอะเปื้อนและถูกทำลายด้วยความบาป โลกที่มืดมนด้วยเงามืดแห่งความตายและคำสาปแช่ง พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระองค์ออกมาจากอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักของพระองค์ ออกมาจากทูตสวรรค์ที่เทิดทูนพระองค์ เพื่อมารับความอับอาย การเหยียดหยาม ความอัปยศอดสู ความเกลียดชัง และความตาย “การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้นตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้านั้นก็ให้เราหายดี” (อิสยาห์ 53:5)

Behold Him in the wilderness, in Gethsemane, upon the cross! The spotless Son of God took upon Himself the burden of sin. He who had been one with God, felt in His soul the awful separation that sin makes between God and man. This wrung from His lips the anguished cry, "My God, My God, why hast Thou forsaken Me?" Matthew 27:46. It was the burden of sin, the sense of its terrible enormity, of its separation of the soul from God--it was this that broke the heart of the Son of God. {SC 13.1}

จงมองดูพระองค์ขณะที่พระองค์อยู่ในป่ากันดาร ในสวนเกทเสมนี และบนกางเขน พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากด่างพร้อย ต้องทนรับภาระบาปมาใส่พระองค์เอง พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระเจ้า ภายในวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่บาปได้แยกพระเจ้าออกไปจากมนุษย์ จนทำให้พระองค์ต้องร้องขึ้นมาด้วยความปวดร้าวว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (มัทธิว 27:46) เป็นเพราะภาระหนักของบาป ความรู้สึกถึงความเลวร้ายน่ากลัวของมัน ที่แยกจิตวิญญาณของพระองค์ออกไปจากพระเจ้า ทำให้พระทัยของพระบุตรพระเจ้าแตกสลายไป {SC 13.1}

But this great sacrifice was not made in order to create in the Father's heart a love for man, not to make Him willing to save. No, no! "God so loved the world, that He gave His only-begotten Son." John 3:16.

แต่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำให้พระทัยของพระบิดาเกิดความรักในตัวมนุษย์ ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้พระองค์เต็มใจช่วยมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” (ยอห์น 3:16)

The Father loves us, not because of the great propitiation, but He provided the propitiation because He loves us. Christ was the medium through which He could pour out His infinite love upon a fallen world. "God was in Christ, reconciling the world unto Himself." 2 Corinthians 5:19. God suffered with His Son. In the agony of Gethsemane, the death of Calvary, the heart of Infinite Love paid the price of our redemption. {SC 13.2}

พระบิดาทรงรักเรา ไม่ใช่เพราะการลบล้างพระอาชญาที่ยิ่งใหญ่โดยพระโลหิตของของพระเยซู แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมการลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระเยซูเพราะพระองค์ทรงรักเรา พระคริสต์ทรงเป็นสื่อกลางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อให้ความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ให้หลั่งลงมายังโลกที่พ่ายแพ้แก่บาปได้ “พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์” (2 โครินธ์ 5:19) พระเจ้าทรงร่วมทุกข์กับพระบุตรของพระองค์ในความปวดร้าวทรมานที่สวนเกทเสมนี ในความมรณาบนกางเขนคาล์วารี พระทัยแห่งความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเจ้าได้ชำระราคาค่าไถ่บาปของเราแล้ว {SC 13.2}

Jesus said, "Therefore doth My Father love Me, because I lay down My life, that I might take it again." John 10:17. That is, "My Father has so loved you that He even loves Me more for giving My life to redeem you. In becoming your Substitute and Surety, by surrendering My life, by taking your liabilities, your transgressions, I am endeared to My Father; for by My sacrifice, God can be just, and yet the Justifier of him who believeth in Jesus." {SC 14.1}

พระเยซูตรัสว่า “ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก” (ยอห์น 10:17) หมายความว่า “พระบิดาของเราทรงรักท่านทั้งหลายมาก และพระองค์ทรงรักเรามากยิ่งขึ้นเมื่อเรายอมถวายชีวิตของเราเพื่อไถ่ท่านทั้งหลาย เราเป็นตัวแทนของท่านทั้งหลายและเป็นผู้ประกันท่านทั้งหลาย เรายอมสละชีวิต รับภาระหนี้และการล่วงละเมิดของท่านทั้งหลาย พระบิดาจึงชื่นชอบเรามาก เพราะโดยการเสียสละของเรา จึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงความเที่ยงธรรม ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่เชื่อในพระเยซูจะได้เป็นผู้ชอบธรรมเช่นกัน” {SC 14.1}

None but the Son of God could accomplish our redemption; for only He who was in the bosom of the Father could declare Him. Only He who knew the height and depth of the love of God could make it manifest. Nothing less than the infinite sacrifice made by Christ in behalf of fallen man could express the Father's love to lost humanity. {SC 14.2}

ไม่มีผู้ใดนอกจากพระบุตรของพระเจ้าที่จะทำการไถ่เราได้สำเร็จ เพราะผู้ที่ทรงสถิตอยู่ในพระบิดาเท่านั้นที่จะประกาศเรื่องของพระองค์ได้ มีเพียงผู้ที่เข้าใจความสูงและความลึกที่มีอยู่ในความรักของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะเปิดเผยความรักนั้นให้เห็นแจ้งได้ ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการเสียสละที่เหลือคณานับของพระคริสต์ที่ทรงทำเพื่อมนุษย์ที่พลาดพลั้งในบาปจะกล่าวถึงความรักของพระบิดาที่มีต่อมวลมนุษย์ที่หลงหายได้ {SC 14.2}

"God so loved the world, that He gave His only-begotten Son." He gave Him not only to live among men, to bear their sins, and die their sacrifice. He gave Him to the fallen race. Christ was to identify Himself with the interests and needs of humanity. He who was one with God has linked Himself with the children of men by ties that are never to be broken. Jesus is "not ashamed to call them brethren" (Hebrews 2:11);

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงประทานพระเยซูให้มาทรงพระชนม์อยู่ท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น แต่ทรงเสด็จมาเพื่อแบกรับบาปของเราและสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาของพวกเราด้วย พระเจ้าทรงประทานพระคริสต์ให้แก่เผ่าพันธุ์ที่พลั้งพลาดไปในบาป พระองค์จึงนำตัวพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนร่วมกับผลประโยชน์และความต้องการของมนุษยชาติ พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับพระเจ้าได้ทรงเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าบุตรของมนุษย์ด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาด พระองค์ “จึงไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นพี่น้อง” (ฮีบรู 2:11)

He is our Sacrifice, our Advocate, our Brother, bearing our human form before the Father's throne, and through eternal ages one with the race He has redeemed--the Son of man. And all this that man might be uplifted from the ruin and degradation of sin that he might reflect the love of God and share the joy of holiness. {SC 14.3}

พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา ทรงเป็นผู้แก้ต่างของเรา ทรงเป็นพี่ชายของเรา พระองค์ผู้อยู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระบิดาทรงมีสภาพมนุษย์เหมือนกันกับเรา และพระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรมนุษย์ จะทรงอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ให้รอดตลอดชั่วนิรันดร์ และทั้งหมดนี้ ก็เพื่อยกระดับมนุษย์ขึ้นมาจากการพินาศและความเสื่อมสลายของบาป เพื่อให้มนุษย์ได้สะท้อนความรักของพระเจ้าและมีส่วนร่วมในความสุขของความบริสุทธิ์ {SC 14.3}

The price paid for our redemption, the infinite sacrifice of our heavenly Father in giving His Son to die for us, should give us exalted conceptions of what we may become through Christ. As the inspired apostle John beheld the height, the depth, the breadth of the Father's love toward the perishing race, he was filled with adoration and reverence; and, failing to find suitable language in which to express the greatness and tenderness of this love, he called upon the world to behold it. "Behold, what manner of love the Father hath bestowed upon us, that we should be called the sons of God." 1 John 3:1.

ค่าไถ่ที่จ่ายไปเพื่อไถ่เราให้รอด ซึ่งเป็นการเสียสละที่เหลือคณานับของพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์แทนเรานั้น ควรทำให้เรามีแนวคิดที่สูงส่งว่า โดยทางพระคริสต์เราจะเป็นคนเช่นไร ขณะที่อัครทูตยอห์นผู้ได้รับการดลใจได้มองเห็นความสูง ความลึกและความกว้างของความรักของพระบิดาที่มีต่อเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะพินาศนั้น ท่านเปี่ยมล้นด้วยการเทิดทูนและความเคารพ ท่านไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อมาบรรยายถึงความยิ่งใหญ่และความนุ่มนวลของความรักนี้ได้ ท่านจึงเชิญชวนให้โลกมาดูว่า “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” (1 ยอห์น 3:1)

What a value this places upon man! Through transgression the sons of man become subjects of Satan. Through faith in the atoning sacrifice of Christ the sons of Adam may become the sons of God. By assuming human nature, Christ elevates humanity. Fallen men are placed where, through connection with Christ, they may indeed become worthy of the name "sons of God." {SC 15.1}

สิ่งที่มนุษย์เราได้รับนั้น ช่างมีคุณค่าสูงอะไรเช่นนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้กระทำผิด พวกเขาจึงตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน โดยทางความเชื่อในการเสียสละของพระคริสต์ที่ทรงประทานพระองค์เองมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เหล่าบุตรของอาดัมจะได้กลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้กับตัวพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงยกระดับมนุษยชาติขึ้น โดยการสัมพันธ์กับพระคริสต์ มนุษย์ที่ล้มลงในบาปจึงจะคู่ควรกับการได้ชื่อว่าเป็น “บุตรของพระเจ้า” อย่างแท้จริง {SC 15.1}

Such love is without a parallel. Children of the heavenly King! Precious promise! Theme for the most profound meditation! The matchless love of God for a world that did not love Him! The thought has a subduing power upon the soul and brings the mind into captivity to the will of God. The more we study the divine character in the light of the cross, the more we see mercy, tenderness, and forgiveness blended with equity and justice, and the more clearly we discern innumerable evidences of a love that is infinite and a tender pity surpassing a mother's yearning sympathy for her wayward child. {SC 15.2}

ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบกับความรักเช่นนี้ได้ เราได้เป็นบุตรของพระราชาแห่งสรวงสวรรค์ นี่เป็นพระสัญญาที่ประเสริฐยิ่ง เป็นหัวข้อที่ลึกซึ้งที่สุดที่เราจะใช้ในการใคร่ครวญ ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระเจ้าที่ให้กับโลกที่ไม่รักพระองค์ ความคิดเช่นนี้มีอำนาจควบคุมจิตวิญญาณและนำความคิดให้มาอยู่ภายใต้น้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเราศึกษาพระลักษณะของพระเจ้าภายใต้ความสว่างของกางเขนมากขึ้นเพียงไร เราก็จะยิ่งมองเห็นพระเมตตาคุณ ความอ่อนโยนและการอภัยที่ประสานกันด้วยความมีเหตุผลและยุติธรรมได้มากขึ้นเท่านั้น และเราก็จะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นถึงหลักฐานมากมายของความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด และความเมตตาสงสาร ที่มีมากกว่าเสียงร้องน่าสงสารของแม่ที่ตามหาลูกที่หลงหายไป {SC 15.2}

[0] [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13]