CHAPTER 10 CHAPTER 12

Chapter 11 (บทที่ 11)
The Privilege of Prayer
อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน
Thai audio version. Please connect to internet to listen

Through nature and revelation, through His providence, and by the influence of His Spirit, God speaks to us. But these are not enough; we need also to pour out our hearts to Him. In order to have spiritual life and energy, we must have actual intercourse with our heavenly Father.

พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางธรรมชาติและโดยทางพระคัมภีร์ โดยการทรงนำของพระองค์และโดยอิทธิพลของพระวิญญาณของพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ เราจำเป็นต้องเปิดจิตใจของเราออกให้แก่พระองค์ เราต้องมีการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ของเรา เพื่อเราจะได้มีชีวิตและพละกำลังฝ่ายวิญญาณ

Our minds may be drawn out toward Him; we may meditate upon His works, His mercies, His blessings; but this is not, in the fullest sense, communing with Him. In order to commune with God, we must have something to say to Him concerning our actual life. {SC 93.1}

ความนึกคิดของเราจะต้องถูกดึงเข้าไปหาพระองค์ เราใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์ หากเราต้องการสื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมร่วมกับพระเจ้าแล้ว เราจะต้องมีเรื่องราวในชีวิตของเราที่จะนำขึ้นทูลต่อพระองค์ได้ {SC 93.1}

Prayer is the opening of the heart to God as to a friend. Not that it is necessary in order to make known to God what we are, but in order to enable us to receive Him. Prayer does not bring God down to us, but brings us up to Him. {SC 93.2}

การอธิษฐานเป็นการเปิดอกพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเราเปิดอกพูดกับเพื่อนฝูง การอธิษฐานไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารู้จักเรา แต่มีไว้เพื่อให้เราต้อนรับพระองค์ การอธิษฐานไม่ได้นำพระเจ้าลงมาหาเรา แต่นำเราขึ้นไปหาพระองค์ {SC 93.2}

When Jesus was upon the earth, He taught His disciples how to pray. He directed them to present their daily needs before God, and to cast all their care upon Him. And the assurance He gave them that their petitions should be heard, is assurance also to us. {SC 93.3}

เมื่อพระเยซูเสด็จมาอยู่ในโลกนั้น พระองค์ทรงสอนสาวกวิธีอธิฐาน พระองค์ทรงสอนให้พวกเขานำความต้องการของแต่ละวันทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และมอบความกังวลใจทั้งหมดให้พระองค์ และพระองค์ทรงประทานความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาว่า พระเจ้าจะสดับฟังคำทูลขอของพวกเขา นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเราด้วย {SC 93.3}

Jesus Himself, while He dwelt among men, was often in prayer. Our Saviour identified Himself with our needs and weakness, in that He became a suppliant, a petitioner, seeking from His Father fresh supplies of strength, that He might come forth braced for duty and trial.

ในขณะที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่เสมอ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำตัวของพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนในความต้องการและความอ่อนแอของเรา พระองค์ทรงอ้อนวอน ทรงทูลขอ ทรงเสาะแสวงหาแหล่งกำลังที่สดใหม่จากพระบิดาเพื่อให้พระองค์พร้อมที่จะก้าวมารับหน้าที่และการทดลองได้

He is our example in all things. He is a brother in our infirmities, "in all points tempted like as we are;" but as the sinless one His nature recoiled from evil; He endured struggles and torture of soul in a world of sin. His humanity made prayer a necessity and a privilege. He found comfort and joy in communion with His Father. And if the Saviour of men, the Son of God, felt the need of prayer, how much more should feeble, sinful mortals feel the necessity of fervent, constant prayer. {SC 93.4}

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเราในทุกเรื่อง ทรงเป็นพี่ชายในความอ่อนแอของเรา พระองค์ “ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ” แต่ในสภาพของผู้ที่ปราศจากบาปนั้น ธรรมชาติของพระองค์ทรงออกห่างไปจากความชั่ว พระองค์ทรงอดทนกับการดิ้นรนและการทรมานของจิตวิญญาณในโลกแห่งความบาป ในขณะที่พระองค์ทรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น การอธิษฐานเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นอภิสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้รับการปลอบประโลมใจและความสุขจากการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา และหากพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ผู้ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า ทรงตระหนักถึงความจำเป็นของการอธิษฐานแล้ว มนุษย์ที่บาปหนา อ่อนแอจะต้องการการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและร้อนรนมากยิ่งกว่าเพียงไร {SC 93.4}

Our heavenly Father waits to bestow upon us the fullness of His blessing. It is our privilege to drink largely at the fountain of boundless love. What a wonder it is that we pray so little!

พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงรอคอยที่จะประทานพระพรอันไพบูลย์ของพระองค์ให้แก่เรา เป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้ดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งรักอันไร้พรมแดนได้อย่างเต็มที่ เป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเราอธิษฐานกันน้อยนัก

God is ready and willing to hear the sincere prayer of the humblest of His children, and yet there is much manifest reluctance on our part to make known our wants to God. What can the angels of heaven think of poor helpless human beings, who are subject to temptation, when God's heart of infinite love yearns toward them, ready to give them more than they can ask or think, and yet they pray so little and have so little faith?

พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่จริงใจของบุตรที่ต่ำต้อยที่สุดของพระองค์ แต่เราก็ยังแสดงออกถึงความไม่มั่นใจอยู่เสมอ เมื่อเราทูลพระเจ้าถึงความขัดสนของเรา ทูตสวรรค์เบื้องบนจะคิดอย่างไรกับมนุษย์ผู้น่าสงสารที่ตกอยู่ภายใต้การทดลองและช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้ ในขณะที่พระทัยที่กอปรด้วยรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า คอยตามหาพวกเขา ทรงพร้อมที่จะประทานให้เขามากกว่าที่พวกเขาจะขอหรือคิดได้ แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอธิษฐานน้อยเกินไปและยังมีความเชื่อเพียงน้อยนิด

The angels love to bow before God; they love to be near Him. They regard communion with God as their highest joy; and yet the children of earth, who need so much the help that God only can give, seem satisfied to walk without the light of His Spirit, the companionship of His presence. {SC 94.1}

ทูตสวรรค์ชอบที่จะก้มกราบอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ พวกเขาถือว่าการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นความสุขสูงส่งที่สุด แต่เหล่าบุตรมนุษย์โลกผู้ต้องการความช่วยเหลือมากมายที่พระเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ประทานให้ได้กลับดูเหมือนว่าพอใจที่จะเดินโดยไม่มีแสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระผู้ทรงเป็นมิตรภาพของการร่วมสถิตของพระองค์ {SC 94.1}

The darkness of the evil one encloses those who neglect to pray. The whispered temptations of the enemy entice them to sin; and it is all because they do not make use of the privileges that God has given them in the divine appointment of prayer.

ความมืดมนของสิ่งชั่วร้ายล้อมอยู่รอบบรรดาคนเหล่านั้นที่ละเลยการอธิษฐาน เสียงกระซิบการล่อลวงของศัตรูชักนำพวกเขาให้ทำบาป และทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้สิทธิที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อนัดหมายกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน

Why should the sons and daughters of God be reluctant to pray, when prayer is the key in the hand of faith to unlock heaven's storehouse, where are treasured the boundless resources of Omnipotence?

เหตุไฉนบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าจึงลังเลใจที่จะอธิษฐาน ในเมื่อการอธิษฐานคือกุญแจในมือของผู้เชื่อเพื่อไขขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่นับไม่ถ้วนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่

Without unceasing prayer and diligent watching we are in danger of growing careless and of deviating from the right path. The adversary seeks continually to obstruct the way to the mercy seat, that we may not by earnest supplication and faith obtain grace and power to resist temptation. {SC 94.2}

เมื่อปราศจากการอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนและการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน เราจะตกเข้าไปสู่ภัยอันตรายของการไม่ระมัดระวังมากขึ้นและเดินออกห่างไปจากทางที่ถูกต้อง ศัตรูคอยหาวิธีอย่างต่อเนื่องที่จะขวางกั้นหนทางที่นำไปสู่พระที่นั่งพระกรุณาธิคุณเพื่อไม่ให้เราทูลขออย่างจริงใจ และความเชื่อที่จะได้มาซึ่งพระคุณและกำลังที่จะต่อต้านการทดลองได้ {SC 94.2}

There are certain conditions upon which we may expect that God will hear and answer our prayers. One of the first of these is that we feel our need of help from Him. He has promised, "I will pour water upon him that is thirsty, and floods upon the dry ground." Isaiah 44:3. Those who hunger and thirst after righteousness, who long after God, may be sure that they will be filled. The heart must be open to the Spirit's influence, or God's blessing cannot be received. {SC 95.1}

มีเงื่อนไขอยู่บางประการที่ทำให้เราคาดหวังให้พระเจ้าสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของเราได้ เงื่อนไขประการแรกสุดคือ เราต้องรู้สึกถึงความต้องการที่จะให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหายและลำธารลงบนดินแห้ง” (อิสยาห์ 443) ผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรม ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า เขาจะมั่นใจได้ว่า จะได้รับการเติมให้เต็ม เราจะต้องเปิดใจของเราออกรับอิทธิพลของพระวิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะรับพระพรของพระเจ้าไม่ได้ {SC 95.1}

Our great need is itself an argument and pleads most eloquently in our behalf. But the Lord is to be sought unto to do these things for us. He says, "Ask, and it shall be given you." And "He that spared not His own Son, but delivered Him up for us all, how shall He not with Him also freely give us all things?" Matthew 7:7; Romans 8:32. {SC 95.2}

ความต้องการยิ่งใหญ่ของเราเป็นทั้งคำสนับสนุนและคำอ้อนวอนอยู่ในตัวที่ไพเราะที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่เรา แต่เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าเพื่อขอพระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่เรา พระองค์ทรงตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้” และพระเจ้า “มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ทรงประทานบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรหรือ” (มัทธิว 7:7; โรม 8:32) {SC 95.2}

If we regard iniquity in our hearts, if we cling to any known sin, the Lord will not hear us; but the prayer of the penitent, contrite soul is always accepted. When all known wrongs are righted, we may believe that God will answer our petitions. Our own merit will never commend us to the favor of God; it is the worthiness of Jesus that will save us, His blood that will cleanse us; yet we have a work to do in complying with the conditions of acceptance. {SC 95.3}

หากเราเก็บความชั่วไว้ในใจของเรา หากเรายึดความบาปที่เรารู้อยู่แก่ใจไว้ในตัว พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟังเรา แต่คำอธิษฐานของจิตวิญญาณที่สำนึกผิดและเสียใจจะได้รับการยอมรับอยู่เสมอ เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดที่เรารู้แก่ใจนั้นให้ถูก เราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำทูลของเรา เราไม่มีทางเสนอความดีของเราเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้ แต่เป็นการกระทำของพระเยซูเพื่อเราที่จะช่วยให้เรารอด พระโลหิตของพระองค์จะชำระเรา แต่กระนั้นเรามีงานที่จะต้องทำเพื่อจะได้ทำตามเงื่อนไขของการยอมรับ {SC 95.3}

Another element of prevailing prayer is faith. "He that cometh to God must believe that He is, and that He is a rewarder of them that diligently seek Him." Hebrews 11:6. Jesus said to His disciples, "What things soever ye desire, when ye pray, believe that ye receive them, and ye shall have them." Mark 11:24. Do we take Him at His word? {SC 96.1}

เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งของการอธิษฐานที่มีชัยชนะคือความเชื่อ “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6) พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า “ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใดจงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:24) เราเชื่อตามที่พระองค์ตรัสไว้หรือไม่ {SC 96.1}

The assurance is broad and unlimited, and He is faithful who has promised. When we do not receive the very things we asked for, at the time we ask, we are still to believe that the Lord hears and that He will answer our prayers. We are so erring and short-sighted that we sometimes ask for things that would not be a blessing to us, and our heavenly Father in love answers our prayers by giving us that which will be for our highest good--that which we ourselves would desire if with vision divinely enlightened we could see all things as they really are.

คำสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ไว้นั้นเปิดกว้างและไม่มีขีดจำกัด และพระผู้ทรงรักษาสัญญานั้นสัตย์ซื่อ เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งที่เราทูลขอในช่วงเวลาที่เราขอ เราก็ยังต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงสดับฟังและพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา เราทำผิดและสายตาสั้น จนบางครั้งเราทูลขอสิ่งที่ไม่เป็นพรแก่ตัวเราเอง และพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความรัก โดยจะทรงประทานสิ่งที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่เรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะปรารถนาถ้าหากเราสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหมดตามสภาพที่เป็นจริงด้วยสายตาที่พระเจ้าทรงประทานให้

When our prayers seem not to be answered, we are to cling to the promise; for the time of answering will surely come, and we shall receive the blessing we need most. But to claim that prayer will always be answered in the very way and for the particular thing that we desire, is presumption. God is too wise to err, and too good to withhold any good thing from them that walk uprightly. Then do not fear to trust Him, even though you do not see the immediate answer to your prayers. Rely upon His sure promise, "Ask, and it shall be given you." {SC 96.2}

เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ เราก็ยังต้องยึดมั่นในพระสัญญา เพราะเวลาที่เราจะได้รับคำตอบนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน และเราจะได้รับพระพรที่เราต้องการมากที่สุด แต่การอ้างว่า เมื่อเราอธิษฐาน เราจะได้รับคำตอบตามที่เราอยากให้เป็นและได้รับสิ่งของตามที่เราอยากได้อยู่เสมอ ความคิดเช่นนี้เป็นการคาดเดาทึกทักขึ้นเอาเอง พระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศเกินที่จะทำผิดและพระองค์ทรงความดีเกินไปที่จะเก็บของดีใดๆ ไว้จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ดังนั้นจงอย่างกลัวที่จะวางใจในพระองค์ แม้ท่านจะมองไม่เห็นคำตอบของคำอธิษฐานทันที่ จงวางใจในพระสัญญาที่แน่นอนของพระองค์ว่า “จงขอแล้วจะได้” {SC 96.2}

If we take counsel with our doubts and fears, or try to solve everything that we cannot see clearly, before we have faith, perplexities will only increase and deepen. But if we come to God, feeling helpless and dependent, as we really are, and in humble, trusting faith make known our wants to Him whose knowledge is infinite, who sees everything in creation, and who governs everything by His will and word, He can and will attend to our cry, and will let light shine into our hearts.

หากเราทูลขอจากพระเจ้าด้วยความสงสัยและความกลัว หรือหาทางแก้ปัญหาทุกเรื่องโดยที่เรามองเห็นไม่ชัดเจน การทำโดยไม่มีความเชื่อเช่นนี้จะเพียงแต่เป็นการเพิ่มความกังวลให้มากขึ้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่หากเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าช่วยตนเองไม่ได้ และต้องการที่พึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แท้จริงของเราและทูลขอสิ่งที่เราต้องการต่อพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สารพัดสิ่ง ทูลขอด้วยความเชื่อที่ถ่อมตนและวางใจ พระองค์ผู้ทรงมองเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและผู้ทรงปกครองทุกสิ่งตามพระประสงค์และพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงสดับฟังคำร้องทูลของเราได้และจะทรงสดับฟังอยู่เสมอ และจะทรงบันดาลให้แสงสว่างส่องเข้ามายังจิตใจของเรา

Through sincere prayer we are brought into connection with the mind of the Infinite. We may have no remarkable evidence at the time that the face of our Redeemer is bending over us in compassion and love, but this is even so. We may not feel His visible touch, but His hand is upon us in love and pitying tenderness. {SC 96.3}

โดยการอธิษฐานที่จริงใจ เราจะถูกชักนำให้เข้ามาเชื่อมต่อกับพระปัญญาของพระเจ้าได้ เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ทรงก้มลงมาอยู่เหนือเราด้วยความเมตตาและความรัก แต่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น เราอาจไม่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระเจ้าที่สายตาของเราจะมองเห็นได้ แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยความรักและพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสารอันอ่อนโยน {SC 96.3}

When we come to ask mercy and blessing from God we should have a spirit of love and forgiveness in our own hearts. How can we pray, "Forgive us our debts, as we forgive our debtors," and yet indulge an unforgiving spirit? Matthew 6:12. If we expect our own prayers to be heard we must forgive others in the same manner and to the same extent as we hope to be forgiven. {SC 97.1}

เมื่อเราเข้ามาทูลขอความเมตตาและพระพรจากพระเจ้า จิตใจของเราจะต้องมีวิญญาณแห่งความรักและการให้อภัย เราจะอธิษฐานได้อย่างไรว่า “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์” และยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของการไม่ให้อภัย (มัทธิว 6:12) หากเราหวังที่จะให้พระเจ้าสดับฟังคำอธิษฐานของเรา เราจะต้องอภัยให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเดียวกันและในขนาดเดียวกันกับที่เราหวังจะได้รับการอภัย {SC 97.1}

Perseverance in prayer has been made a condition of receiving. We must pray always if we would grow in faith and experience. We are to be "instant in prayer," to "continue in prayer, and watch in the same with thanksgiving." Romans 12:12; Colossians 4:2. Peter exhorts believers to be "sober, and watch unto prayer." 1 Peter 4:7.

ความพากเพียรในการอธิษฐานเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการได้รับคำตอบ เราจะต้องอธิษฐานอยู่เสมอหากเราต้องการเติบใหญ่ขึ้นในความเชื่อและประสบการณ์ เราจะต้อง “ขะมักเขม้นอธิษฐาน” อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อ “เฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ” (โรม 12:12; โคโลสี 4:2) เปโตรกำชับผู้เชื่อให้ “สงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน” (1 เปโตร 4:7)

Paul directs, "In everything by prayer and supplication with thanksgiving let your requests be made known unto God." Philippians 4:6. "But ye, beloved," says Jude, "praying in the Holy Ghost, keep yourselves in the love of God." Jude 20, 21. Unceasing prayer is the unbroken union of the soul with God, so that life from God flows into our life; and from our life, purity and holiness flow back to God. {SC 97.2}

เปาโลชี้แนะว่า “จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ” (ฟิลิปปี 4:6) ยูดากล่าวว่า “ท่านที่รักทั้งหลาย.....จงอธิษฐานในพระวิญญาณ จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า” (ยูดา 20, 21) การอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไม่ขาดสายระหว่างจิตวิญญาณกับพระเจ้าให้ต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าไหลเข้ามายังชีวิตของเรา และเพื่อความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราจะไหลกลับคืนไปยังพระเจ้าได้ {SC 97.2}

There is necessity for diligence in prayer; let nothing hinder you. Make every effort to keep open the communion between Jesus and your own soul. Seek every opportunity to go where prayer is wont to be made. Those who are really seeking for communion with God will be seen in the prayer meeting, faithful to do their duty and earnest and anxious to reap all the benefits they can gain. They will improve every opportunity of placing themselves where they can receive the rays of light from heaven. {SC 98.1}

ความหมั่นเพียรในการอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็น จงอย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่านไม่ให้อธิษฐาน จงให้ความสามารถทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อรักษาการติดต่อระหว่างวิญญาณจิตของท่านกับพระเยซูไว้ จงหาทุกโอกาสที่จะไปยังที่ๆ มีการอธิษฐาน เราจะพบผู้ที่ต้องการสื่อกับพระเจ้าอย่างจริงจังได้ในการประชุมอธิษฐาน เขาจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา และมีความจริงใจและร้อนใจที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้รับ เขาจะใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะนำตัวเขาเองให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ๆ จะรับแสงสว่างจากสวรรค์ได้ {SC 98.1}

We should pray in the family circle, and above all we must not neglect secret prayer, for this is the life of the soul. It is impossible for the soul to flourish while prayer is neglected. Family or public prayer alone is not sufficient. In solitude let the soul be laid open to the inspecting eye of God. Secret prayer is to be heard only by the prayer-hearing God. No curious ear is to receive the burden of such petitions. In secret prayer the soul is free from surrounding influences, free from excitement.

เราจะต้องอธิษฐานร่วมกันในครอบครัว และเหนือสิ่งอื่นใด เราจะต้องไม่ละเลยการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว เพราะนี่คือชีวิตของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ละเลยการอธิษฐานจะไม่มีทางเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ การอธิษฐานในครอบครัวหรือในที่สาธารณะเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ขณะที่อยู่ตามลำพัง จงเปิดจิตใจออกให้กับสายพระเนตรของพระเจ้าที่คอยตรวจสอบอยู่ การอธิษฐานส่วนตัวมีไว้เพื่อให้พระเจ้าสดับฟังเท่านั้น หูของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่ควรได้ยินภาระของการทูลอ้อนวอนเหล่านี้ ในขณะที่อธิษฐานเป็นการส่วนตัวนั้น จิตวิญญาณจะได้รับอิสรภาพจากอิทธิพลที่อยู่รอบข้าง หลุดพ้นจากความตื่นเต้นวุ่นวาย

Calmly, yet fervently, will it reach out after God. Sweet and abiding will be the influence emanating from Him who seeth in secret, whose ear is open to hear the prayer arising from the heart. By calm, simple faith the soul holds communion with God and gathers to itself rays of divine light to strengthen and sustain it in the conflict with Satan. God is our tower of strength. {SC 98.2}

คำอธิษฐานไปถึงพระเจ้าด้วยความสงบแต่ร้อนรน อิทธิพลที่หวานชื่นและการทรงสถิตอยู่ด้วยจะไหลออกมาจากพระองค์ผู้ทรงทอดพระเนตรในที่ลี้ลับ พระกรรณของพระองค์เปิดออกที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่ออกมาจากจิตใจ จิตวิญญาณจะยึดติดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อที่สงบและเรียบง่าย และจะได้รับแสงสว่างของพระเจ้ามาไว้กับตนเองเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้นและมั่นคงในการต่อสู้กับซาตาน พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการแข็งแรงของเรา {SC 98.2}

Pray in your closet, and as you go about your daily labor let your heart be often uplifted to God. It was thus that Enoch walked with God. These silent prayers rise like precious incense before the throne of grace. Satan cannot overcome him whose heart is thus stayed upon God. {SC 98.3}

จงอธิษฐานในห้องส่วนตัว และในขณะทำงานประจำวัน จงหมั่นหันจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเสมอ เอโนคทำเช่นนี้ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้า คำอธิษฐานในใจเหล่านี้จะลอยขึ้นไปถึงพระบัลลังก์แห่งพระคุณเหมือนเช่นควันหอมจากเครื่องเผาบูชาที่มีค่ายิ่ง ผู้ที่มีจิตใจติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเช่นนี้ ซาตานไม่อาจมีชัยเหนือเขาได้ {SC 98.3}

There is no time or place in which it is inappropriate to offer up a petition to God. There is nothing that can prevent us from lifting up our hearts in the spirit of earnest prayer. In the crowds of the street, in the midst of a business engagement, we may send up a petition to God and plead for divine guidance, as did Nehemiah when he made his request before King Artaxerxes.

ไม่มีเวลาใดหรือสถานที่ใดที่ไม่เหมาะสำหรับการทูลขอต่อพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางวิญญาณแห่งการอธิษฐานที่จริงใจที่สามารถยกชูจิตใจของเราได้ ในท่ามกลางความแออัดของท้องถนน ในท่ามกลางการทำธุรกิจ เราส่งคำทูลขอของเราไปยังพระเจ้าและอ้อนวอนขอการทรงนำของพระองค์ได้ เหมือนเช่นเนฮะมีย์ทำในขณะที่ท่านกำลังทูลขอต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส

A closet of communion may be found wherever we are. We should have the door of the heart open continually and our invitation going up that Jesus may come and abide as a heavenly guest in the soul. {SC 99.1}

เราจะหาห้องส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ทุกที่ เราจะต้องเปิดประตูใจอยู่เสมอเพื่อคำทูลเชิญของเราจะขึ้นไปถึงพระเยซู เพื่ออัญเชิญพระองค์ให้ลงมาและเป็นแขกรับเชิญจากสวรรค์เพื่อสถิตในจิตวิญญาณของเรา {SC 99.1}

Although there may be a tainted, corrupted atmosphere around us, we need not breathe its miasma, but may live in the pure air of heaven. We may close every door to impure imaginings and unholy thoughts by lifting the soul into the presence of God through sincere prayer. Those whose hearts are open to receive the support and blessing of God will walk in a holier atmosphere than that of earth and will have constant communion with heaven. {SC 99.2}

แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยมลทินและความเลวร้าย แต่เราไม่จำเป็นต้องหายใจเอาบรรยากาศที่เป็นพิษเหล่านี้ เรามีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของสวรรค์ได้ เราปิดประตูทุกบานให้กับความนึกคิดที่ไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์ ด้วยการยกระดับจิตใจให้ขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐานด้วยความจริงใจได้ ผู้ที่เปิดใจออกเพื่อรับการค้ำจุนและพระพรของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ในบรรยากาศที่บริสุทธิ์กว่าบรรยากาศของโลก และเขาจะสื่อสารกับสวรรค์อย่างสม่ำเสมอ {SC 99.2}

We need to have more distinct views of Jesus and a fuller comprehension of the value of eternal realities. The beauty of holiness is to fill the hearts of God's children; and that this may be accomplished, we should seek for divine disclosures of heavenly things. {SC 99.3}

เราจำเป็นต้องมีภาพของพระเยซูคริสต์ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น และเข้าใจในคุณค่าของความจริงอันนิรันดร์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น ความงดงามของความบริสุทธิ์จะต้องเติมเต็มอยู่ในจิตใจของเหล่าบุตรของพระเจ้า และเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้ เราจะต้องขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ของสวรรค์ให้แก่เรา {SC 99.3}

Let the soul be drawn out and upward, that God may grant us a breath of the heavenly atmosphere. We may keep so near to God that in every unexpected trial our thoughts will turn to Him as naturally as the flower turns to the sun. {SC 99.4}

จงนำจิตวิญญาณของท่านออกมาและยกชูให้สูงขึ้น เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานบรรยากาศแห่งสวรรค์ให้เราหายใจ เราจะต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนกระทั่งเมื่อการทดลองทุกอันที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความคิดของเราจะหันไปหาพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนดอกไม้ที่หันหน้าเขาหาดวงอาทิตย์ {SC 99.4}

Keep your wants, your joys, your sorrows, your cares, and your fears before God. You cannot burden Him; you cannot weary Him. He who numbers the hairs of your head is not indifferent to the wants of His children. "The Lord is very pitiful, and of tender mercy." James 5:11.

จงนำความต้องการ ความสุข ความโศกเศร้า ความกังวลและความกลัวของท่านมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ท่านไม่ได้ไปรบกวนพระองค์ ท่านไม่เคยทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่าย พระองค์ผู้ทรงทราบจำนวนเส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่ทรงเพิกเฉยต่อความต้องการของเหล่าบุตรของพระองค์ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด” (ยากอบ 5:11)

His heart of love is touched by our sorrows and even by our utterances of them. Take to Him everything that perplexes the mind. Nothing is too great for Him to bear, for He holds up worlds, He rules over all the affairs of the universe. Nothing that in any way concerns our peace is too small for Him to notice.

พระทัยแห่งรักของพระองค์รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเราและแม้แต่คำพูดของเราที่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็สัมผัสพระทัยของพระองค์ จงนำทุกสิ่งที่ทำให้ความนึกคิดของท่านวุ่นวายไปหาพระองค์ ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินไปที่พระองค์จะทรงแบกรับไว้ไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชูโลกไว้ พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล

There is no chapter in our experience too dark for Him to read; there is no perplexity too difficult for Him to unravel. No calamity can befall the least of His children, no anxiety harass the soul, no joy cheer, no sincere prayer escape the lips, of which our heavenly Father is unobservant, or in which He takes no immediate interest.

ไม่มีสิ่งใดในเรื่องเกี่ยวกับความสงบสุขของเราที่เล็กเกินไปจนพระองค์สังเกตไม่เห็น ไม่มีฉากหนึ่งใดในประสบการณ์ชีวิตของเราที่มืดมนเกินกว่าที่พระองค์จะทรงอ่านได้ ไม่มีความยุ่งเหยิงใดที่ยากเกินไปที่พระองค์จะทรงแก้ไขไม่ได้ ไม่มีภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้นกับบุตรของพระองค์แม้เพียงผู้เล็กน้อยที่สุด ไม่มีความกังวลใดจะมารังควานจิตวิญญาณไม่มีความสุขชื่นบานและไม่มีคำอธิษฐานจริงใจใดที่หลุดออกจากริมฝีปากของเราโดยที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรงสังเกตเห็น หรือไม่ได้ทรงให้ความสนใจในทันที

"He healeth the broken in heart, and bindeth up their wounds." Psalm 147:3. The relations between God and each soul are as distinct and full as though there were not another soul upon the earth to share His watchcare, not another soul for whom He gave His beloved Son. {SC 100.1}

“พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ และทรงพันผูกบาดแผลของเขา” (สดุดี 147:3) ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและจิตวิญญาณทุกดวงนั้นชัดเจนและบริบูรณ์ ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณอื่นอีกแล้วที่จะมาแย่งความหวงหาของพระองค์ ราวกับพระองค์ไม่ได้ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้แก่จิตวิญญาณอื่น {SC 100.1}

Jesus said, "Ye shall ask in My name: and I say not unto you, that I will pray the Father for you: for the Father Himself loveth you." "I have chosen you: . . . that whatsoever ye shall ask of the Father in My name, He may give it you." John 16:26, 27; 15:16.

พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะทูลขอในนามของเราและเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย” “เราได้เลือกท่านทั้งหลาย.....เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน” (ยอห์น 16:27, 28; 15:16)

But to pray in the name of Jesus is something more than a mere mention of that name at the beginning and the ending of a prayer. It is to pray in the mind and spirit of Jesus, while we believe His promises, rely upon His grace, and work His works. {SC 100.2}

แต่การจะอธิษฐานในนามของพระเยซูนั้นมีความหมายมากกว่าการเอ่ยพระนามของพระองค์ในตอนต้นและตอนท้ายของการอธิษฐาน เราจะต้องอธิษฐานด้วยความนึกคิดและด้วยวิญญาณของพระเยซู ในขณะที่เราเชื่อพระสัญญาของพระองค์ จะพึ่งพิงในพระคุณของพระองค์และทำงานในพระราชกิจของพระองค์ {SC 100.2}

God does not mean that any of us should become hermits or monks and retire from the world in order to devote ourselves to acts of worship. The life must be like Christ's life--between the mountain and the multitude. He who does nothing but pray will soon cease to pray, or his prayers will become a formal routine.

พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเป็นฤาษีหรือนักบวชและแยกตนเองออกไปจากโลกเพื่ออุทิศตนเองอยู่กับการบูชากราบไหว้ ชีวิตของเราจะต้องเหมือนชีวิตของพระคริสต์ คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาและฝูงชน ผู้ที่ไม่ทำอะไรนอกจากอธิษฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ช้าไม่นานก็จะเลิกอธิษฐาน หรือไม่เช่นนั้นคำอธิษฐานของเขาก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ

When men take themselves out of social life, away from the sphere of Christian duty and cross bearing; when they cease to work earnestly for the Master, who worked earnestly for them, they lose the subject matter of prayer and have no incentive to devotion. Their prayers become personal and selfish. They cannot pray in regard to the wants of humanity or the upbuilding of Christ's kingdom, pleading for strength wherewith to work. {SC 101.1}

เมื่อมนุษย์นำตัวเองออกไปจากสังคม ออกไปจากขอบเขตหน้าที่ของคริสเตียนและการแบกกางเขน เมื่อเขาเลิกที่จะทำงานอย่างจริงใจเพื่อถวายพระอาจารย์ผู้ทรงกระทำกิจอย่างจริงใจเพื่อเขาทั้งหลาย เขาก็จะสูญเสียหัวข้อในการอธิษฐานไป และเขาจะไม่มีแรงจูงใจเพื่อการนมัสการ คำอธิษฐานของเขาก็จะมีแต่เรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ตัว พวกเขาไม่อาจที่จะอธิษฐานเผื่อความขัดสนของมนุษยชาติหรือการเสริมสร้างอาณาจักรของพระคริสต์โดยการทูลขอกำลังที่จะทำการต่อไป {SC 101.1}

We sustain a loss when we neglect the privilege of associating together to strengthen and encourage one another in the service of God. The truths of His word lose their vividness and importance in our minds. Our hearts cease to be enlightened and aroused by their sanctifying influence, and we decline in spirituality. In our association as Christians we lose much by lack of sympathy with one another. He who shuts himself up to himself is not filling the position that God designed he should. The proper cultivation of the social elements in our nature brings us into sympathy with others and is a means of development and strength to us in the service of God. {SC 101.2}

เราต้องพบกับความสูญเสียเมื่อเราละเลยสิทธิของการเข้าสื่อสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อเสริมกำลังและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในงานรับใช้พระเจ้า ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้สูญเสียความชัดเจนและความสำคัญไปจากความนึกคิดของเรา จิตใจของเราจะไม่ได้รับความกระจ่างและไม่มีอิทธิพลแห่งการชำระให้บริสุทธิ์มาปลุกให้ตื่นขึ้น และจิตวิญญาณของเราก็จะถดถอยลงไป การขาดความเห็นใจซึ่งกันและกันที่มีอยู่ในสังคมคริสเตียนของเรา ทำให้เราสูญเสียไปมาก ผู้ที่แยกตนเองออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดวางให้เขา การพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมจะนำเราให้เห็นใจผู้อื่นและเป็นวิธีที่จะพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เราเพื่องานรับใช้พระเจ้า {SC 101.2}

If Christians would associate together, speaking to each other of the love of God and of the precious truths of redemption, their own hearts would be refreshed and they would refresh one another. We may be daily learning more of our heavenly Father, gaining a fresh experience of His grace; then we shall desire to speak of His love; and as we do this, our own hearts will be warmed and encouraged. If we thought and talked more of Jesus, and less of self, we should have far more of His presence. {SC 101.3}

หากคริสเตียนจะสมาคมร่วมกัน พูดคุยกันถึงเรื่องความรักของพระเจ้าและความจริงของการไถ่ให้รอดที่มีค่ายิ่ง จิตใจของเขาจะได้รับความสดชื่นและเขาจะนำความสดชื่นมาให้แก่กันและกัน เราจะได้เรียนรู้ถึงพระบิดาในสวรรค์ของเรามากขึ้นทุกวัน ได้รับประสบการณ์พระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่ และเราจะปรารถนาที่จะพูดถึงความรักของพระองค์ และเมื่อเราทำเช่นนี้จิตใจของเราจะอบอุ่นและได้รับกำลังใจ หากเราคิดและพูดเรื่องพระเยซูให้มากขึ้น และพูดถึงตัวเองให้น้อยลง พระเจ้าก็จะสถิตอยู่ร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น {SC 101.3}

If we would but think of God as often as we have evidence of His care for us we should keep Him ever in our thoughts and should delight to talk of Him and to praise Him. We talk of temporal things because we have an interest in them.

หากเราเพียงแต่จะคิดถึงพระเจ้ามากเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงมีต่อเราตามที่เรามีหลักฐานที่แสดงถึงความห่วงใยของพระองค์ เราก็จะมีพระองค์อยู่ในความนึกคิดของเราเสมอ และจะมีความสุขที่ได้สนทนาถึงเรื่องของพระองค์และสรรเสริญพระองค์ เราพูดถึงสิ่งของฝ่ายโลกเพราะเราสนใจในของเหล่านั้น

We talk of our friends because we love them; our joys and our sorrows are bound up with them. Yet we have infinitely greater reason to love God than to love our earthly friends; it should be the most natural thing in the world to make Him first in all our thoughts, to talk of His goodness and tell of His power.

เราพูดถึงเพื่อนของเราเพราะเรารักเขา ความสุขและความทุกข์ของเราถูกผูกมัดอยู่กับพวกเพื่อนเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น เรามีเหตุผลยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดที่จะรักพระเจ้ามากกว่าที่จะรักเพื่อนของเราในโลกนี้ ควรจะต้องเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกที่เราจะให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในความคิดทั้งหมดของเรา ที่เราจะพูดถึงคุณความดีของพระองค์และบอกเล่าถึงอำนาจของพระองค์

The rich gifts He has bestowed upon us were not intended to absorb our thoughts and love so much that we should have nothing to give to God; they are constantly to remind us of Him and to bind us in bonds of love and gratitude to our heavenly Benefactor. We dwell too near the lowlands of earth. Let us raise our eyes to the open door of the sanctuary above, where the light of the glory of God shines in the face of Christ, who "is able also to save them to the uttermost that come unto God by Him." Hebrews 7:25. {SC 102.1}

ของประทานอันมีค่าที่พระองค์ทรงประทานให้เรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อกลืนความคิดและความรักของเรา จนเราไม่มีอะไรที่จะถวายพระเจ้าได้ ของประทานเหล่านี้จะต้องเตือนสติเราให้ระลึกถึงเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลาและผูกเราเข้าด้วยสายใยแห่งความรักและการขอบพระคุณต่อพระผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เรา เราอาศัยอยู่ใกล้พื้นราบของโลกมากเกินไป จงลืมตาของเราขึ้นไปยังประตูของพระวิหารที่เปิดอยู่เบื้องบน ที่ๆ แสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าส่องไปยังพระพักตร์ของพระคริสต์ พระองค์ “ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์” (ฮีบรู 7:25) {SC 102.1}

We need to praise God more "for His goodness, and for His wonderful works to the children of men." Psalm 107:8. Our devotional exercises should not consist wholly in asking and receiving. Let us not be always thinking of our wants and never of the benefits we receive. We do not pray any too much, but we are too sparing of giving thanks. We are the constant recipients of God's mercies, and yet how little gratitude we express, how little we praise Him for what He has done for us. {SC 102.2}

เราควรสรรเสริญพระเจ้าให้มากกว่านี้ “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (สดุดี 107:8) กิจกรรมในการนมัสการของเราไม่ควรจะมีแต่เรื่องการขอและการรับเท่านั้น จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องความต้องการของเราและอย่าคิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ เราไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งใดมากเกินไป แต่เราถวายการขอบคุณน้อยเกินไป เราได้รับพระเมตตาคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ แต่เรากล่าวคำขอบคุณพระองค์น้อยมากเพียงไร เราสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เราน้อยเกินไปเพียงไร {SC 102.2}

Anciently the Lord bade Israel, when they met together for His service, "Ye shall eat before the Lord your God, and ye shall rejoice in all that ye put your hand unto, ye and your households, wherein the Lord thy God hath blessed thee." Deuteronomy 12:7. That which is done for the glory of God should be done with cheerfulness, with songs of praise and thanksgiving, not with sadness and gloom. {SC 103.1}

ในอดีตกาล พระเจ้าทรงบัญชาชนชาติอิสราเอลเมื่อเข้ามาประชุมร่วมกันเพื่องานรับใช้ของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงปิติร่าเริงในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7) สิ่งที่เราทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้านั้น จะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยบทเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรือความหมดหวัง {SC 103.1}

Our God is a tender, merciful Father. His service should not be looked upon as a heart-saddening, distressing exercise. It should be a pleasure to worship the Lord and to take part in His work. God would not have His children, for whom so great salvation has been provided, act as if He were a hard, exacting taskmaster. He is their best friend; and when they worship Him, He expects to be with them, to bless and comfort them, filling their hearts with joy and love.

พระเจ้าของเราเป็นพระบิดาผู้ทรงอ่อนโยนและเมตตา เราจะต้องไม่มองว่างานรับใช้พระองค์เป็นกิจกรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าสลดและน่าเบื่อหน่าย การนมัสการพระเจ้าและการมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์จะต้องเป็นเรื่องที่ให้ความสุข พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บุตรทั้งหลายของพระองค์ ซี่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดยิ่งใหญ่ไว้ให้ต้องมาทำตัวราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นนายงานที่เหี้ยมโหดและเข้มงวด พระองค์ทรงเป็นพระสหายเลิศที่สุดของพวกเรา และเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสถิตอยู่ร่วมด้วย เพื่ออวยพระพรและปลอบประโลมเขา เติมจิตใจของเขาให้เต็มล้นด้วยความสุขและความรัก

The Lord desires His children to take comfort in His service and to find more pleasure than hardship in His work. He desires that those who come to worship Him shall carry away with them precious thoughts of His care and love, that they may be cheered in all the employments of daily life, that they may have grace to deal honestly and faithfully in all things. {SC 103.2}

พระเจ้าทรงปรารถนาให้บุตรทั้งหลายมีความสุขสบายในงานรับใช้พระองค์ และพบความปิติยินดีมากกว่าความยากลำบากในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการพระองค์ได้นำความคิดที่มีค่าของเรื่องความห่วงใยและความรักของพระองค์ออกไป เพื่อพวกเขาจะได้เป็นกำลังใจในงานทุกงานที่เขาต้องทำในชีวิต เพื่อเขาจะมีพระคุณที่จะจัดการกับทุกเรื่องด้วยความเที่ยงตรงและสัตย์ซื่อ {SC 103.2}

We must gather about the cross. Christ and Him crucified should be the theme of contemplation, of conversation, and of our most joyful emotion. We should keep in our thoughts every blessing we receive from God, and when we realize His great love we should be willing to trust everything to the hand that was nailed to the cross for us. {SC 103.3}

เราจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กางเขน พระคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงจะต้องเป็นเรื่องที่เราไตร่ตรอง เป็นเรื่องที่เราสนทนาและเป็นเรื่องที่ให้ความสุขมากที่สุดของเรา เราจะต้องระลึกอยู่เสมอถึงพระพรทุกอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้า และเมื่อเราตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราจะต้องเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเรา {SC 103.3}

The soul may ascend nearer heaven on the wings of praise. God is worshiped with song and music in the courts above, and as we express our gratitude we are approximating to the worship of the heavenly hosts. "Whoso offereth praise glorifieth" God. Psalm 50:23. Let us with reverent joy come before our Creator, with "thanksgiving, and the voice of melody." Isaiah 51:3. {SC 104.1}

จิตวิญญาณจะบินสูงขึ้นไปจนใกล้สวรรค์ด้วยปีกแห่งการสรรเสริญ การนมัสการพระเจ้าที่บัลลังก์เบื้องบนจะทำได้ด้วยบทเพลงและเสียงดนตรี และในขณะที่เรากล่าวคำขอบพระคุณ เรากำลังเลียนแบบการนมัสการของเหล่าชาวสวรรค์ “บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่องสักการบูชา ก็ให้เกียรติแก่” พระเจ้า (สดุดี 50:23) ให้เราเข้ามาหาพระผู้สร้างของเราด้วยความสุขอย่างยำเกรง พร้อมกับ “การโมทนาและเสียงเพลง” (อิสยาห์ 51:3) {SC 104.1}

[0] [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13]